บริษัทซึ่งรองประธานาธิบดี Dick Cheney เคยบริหาร
ตั้งท่าเตรียมรับอานิสงส์สงครามอิรักเต็มที่
จากงานฟื้นฟูบูรณะอิรัก
Ray Rodon กำลังยืนสำรวจรอบๆ บริเวณบ่อน้ำมัน Rumailah ซึ่งตั้งอยู่ในทะเลทรายในภาคใต้ของอิรัก
หมวกเหล็กแบบทหารกับเสื้อกันกระสุนที่เขาสวมอยู่ อาจทำให้คิดว่าเขาเป็นทหารอเมริกัน
แต่ความจริงเขาเป็นพลเรือนและเป็นคนของ Halliburton บริษัทก่อสร้างและให้บริการเกี่ยวกับการขุดเจาะบ่อน้ำมันยักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ
ซึ่งรองประธานาธิบดี Dick Cheney เคยเป็น CEO ก่อนที่จะมารับตำแหน่งทางการเมือง
เพียง 4 วันหลังจากกองทัพอเมริกันบุกเข้าอิรักเพื่อตามเด็ดหัวประธานาธิบดีซัดดัม
ฮุสเซ็น Rodon ก็เดินทางมาถึง Rumailah เพื่อ ทำงานของเขา-ประเมินสภาพความเสียหายของโครงสร้างพื้นฐานอุตสาหกรรมน้ำมันของอิรักเพื่อวางแผนฟื้นฟูหลังสงครามสิ้นสุด
ในฐานะผู้จัดการโครงการของบริษัท Kellogg Brown & Root (KBR) บริษัทก่อสร้างและวิศวกรรมในเครือ
Halliburton Rodon ทุ่มเทเวลาหลายเดือนศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับอุตสาหกรรมน้ำมันของอิรัก
เพื่อเตรียมการฟื้นฟูบูรณะ ทั้งในขณะที่เขาอยู่ที่สำนักงานใหญ่ของบริษัทในเมือง
Houston และที่ห้องในโรงแรมแห่งหนึ่งในกรุงคูเวต ซิตี้ เขาศึกษาจนรู้ตื้นลึกหนาบางของบริษัทน้ำมันแห่งชาติของอิรักโดยเฉพาะโครงสร้างการจัดองค์กร
เพื่อที่ Halliburton และกองทัพสหรัฐฯ จะสามารถร่วมกันระบุได้ว่า ชาวอิรักคนใดในบริษัทดังกล่าวที่เป็น
technocrat ที่ไว้วางใจได้ และคนใดที่เป็นผู้ภักดีต่อประธานาธิบดีซัดดัม
Rodon เป็นเพียง "กองหน้า" ของกองทัพพนักงาน Halliburton ที่กำลังจะเคลื่อนทัพเข้าไปในอิรักที่ซึ่งสหรัฐฯ
กำลังเตรียมการสร้างชาติครั้งใหญ่สุด นับตั้งแต่งานสร้างชาติในญี่ปุ่นหลังสงครามโลกครั้งที่
2 และผู้ที่จะรับประโยชน์ไปเต็มๆ จากงานสร้างชาตินี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นบรรดาบริษัทเอกชนของสหรัฐฯ
นี่เอง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Halliburton ที่น่าจะได้รับอานิสงส์ไปมากสุด
ปัจจุบันพนักงานของ KBR ก็ทำงานบริการให้แก่กองทัพสหรัฐฯ อยู่แล้ว ได้แก่
การจัดเตรียมอาหาร ซักรีด และกำจัดขยะให้แก่ค่ายทหารอเมริกันที่มีอยู่หลายแห่งในคูเวต
และกำลังจะทำงาน เดียวกันนี้ให้แก่ฐานทัพอเมริกันในอิรักด้วย
อย่างไรก็ตาม หลังจากสงครามเลิกแล้ว บริษัทเอกชนเหล่านี้ ต่างก็หวังจะได้รับส่วนแบ่งเค้กงานฟื้นฟูบูรณะอิรัก
ซึ่งมีมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ จากการสร้างถนน ระบบไฟฟ้า ระบบประปา ท่าเรือ
สนามบิน และที่สำคัญที่สุดคือการผลิตน้ำมัน
สงครามยึดอิรัก ช่างเกิดขึ้นอย่างพอเหมาะพอเจาะในห้วงเวลาที่ Halliburton
กำลังถูกรุมเร้าด้วยปัญหาสารพัด ตั้งแต่การชะลอตัวของการผลิตน้ำมันภายในประเทศ
จนถึงการถูกฟ้องร้องเรื่องการใช้สารก่อมะเร็ง asbestos
รายได้เมื่อปีกลายของบริษัทตกฮวบลงถึง 6% เหลือเพียง 12.6 พันล้าน ดอลลาร์
และบริษัทยังรายงานผลขาดทุน สุทธิ 984 ล้านดอลลาร์ อย่างไรก็ตาม CEO Dave
Lesar ผู้รับตำแหน่งต่อ จาก Cheney ได้ลงมือแก้ปัญหาอย่างขะมักเขม้นแล้ว
เขาลดค่าใช้จ่าย ขายทรัพย์สินที่ไม่ก่อรายได้ ยุติธุรกิจที่ขาดทุน ในต่างประเทศ
และหาทางออกให้แก่ปัญหาคดีความเกี่ยวกับสาร asbestos อันน่าปวดหัวได้แล้ว
เมื่อบวกกับการที่การผลิตก๊าซธรรมชาติเริ่มมีแนวโน้มสดใสขึ้น และการได้รับสัญญาจ้างเหมา
จากรัฐบาลเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อันรวมถึงงานฟื้นฟูบูรณะอิรักก็จะเห็นว่า เวลา
ของ Halliburton ได้มาถึงแล้ว
บริษัทซึ่งก่อตั้งโดย Erle Halliburton ในปี 1919 ที่ Oklahoma ในชื่อแรกตั้งว่า
New Method Oil Well Cementing Co. มีธุรกิจที่เป็นรากฐานคือ การให้บริการครบวงจรแก่บริษัทขุดเจาะและผลิตน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ
กล่าวคือ บริษัทจะจัดหาทุกสิ่งทุกอย่างที่ลูกค้าจำเป็นต้องใช้ในการนำน้ำมันและก๊าซธรรมชาติขึ้นมาจากใต้โลกให้ได้
ตั้งแต่หัวเจาะจนถึงซอฟต์แวร์และท่อส่งใต้น้ำ จนถึงปัจจุบัน ธุรกิจให้บริการแก่ผู้ขุดเจาะบ่อน้ำมันยังคงมีสัดส่วนถึง
60% ของรายได้และ 85% ของกำไรของบริษัท
ธุรกิจอีกส่วนหนึ่งของ Halliburton คือ งานก่อสร้างและวิศวกรรมทั้งด้านพลเรือนและทหาร
KBR มีผลงานการออกแบบและสร้างโรงงานขนาดใหญ่มาแล้วทั่วโลก ตั้งแต่แท่นขุดเจาะน้ำมันนอกชายฝั่ง
โรงงานเคมี โรงกลั่นน้ำมัน และโรงไฟฟ้า ส่วนงานด้านวิศวกรรมพลเรือนก็เช่นการสร้างถนนและระบบประปา
นอกจากนี้ยังทำงานด้าน logistics ให้แก่รัฐบาลสหรัฐฯ ด้วย Halliburton ดำเนินธุรกิจใน
120 ประเทศ ทั่วโลกด้วยจำนวนพนักงาน 83,000 คน
อย่างไรก็ตาม KBR กำลังประสบปัญหาไม่สามารถควบคุมต้นทุนของโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ในต่างประเทศ
ที่เรียกกันว่า โครงการ EPIC (ย่อมาจาก engineering, procurement, installation,
and construction) ได้ KBR ชอบรับงาน EPIC ซึ่งเป็นสัญญาจ้างเหมาในต่างประเทศ
เพื่อให้ได้เงินก้อนในคราวเดียว ก่อนที่จะพบในเวลาต่อมาว่า ไม่สามารถควบคุมต้นทุนของโครงการ
เหล่านั้นได้ และทำให้กำไรหดหายไปหมด
ปีกลาย Halliburton ขาดทุน 119 ล้านดอลลาร์จากโครงการ ร่วมทุนพัฒนาบ่อน้ำมันใต้ทะเลลึก
55 บ่อนอกชายฝั่งบราซิลขาดทุนอีก 33 ล้าน ในโครงการแท่นขุดเจาะน้ำมันนอกชายฝั่งในฟิลิปปินส์
เมื่อรวมกับการขาดทุนจากการดำเนินธุรกิจที่ผิดพลาด อื่นๆ อีก ส่งผลให้กำไรขั้นต้น
(margin) ของ KBR อยู่ที่เพียง 2.1% เท่านั้นเมื่อปีกลาย ซึ่งน้อยกว่าระดับที่บริษัทประกาศตั้งเป้าไว้ที่
3%
อย่างไรก็ตาม Lesar ซึ่งเคยเป็นนักบัญชีของ Arthur Andersen ก่อนที่จะเข้ามาทำงานใน
Halliburton ในปี 1993 กำลัง จะนำพา Halliburton ไปสู่อนาคตที่สดใสขึ้น เขาประกาศว่า
Halliburton จะเลิกใช้วิธีรับเงินก้อนเดียวจบจากโครงการ EPIC ในขณะเดียวกัน
KBR กำลังได้รับอานิสงส์จาก "สงคราม" หลายๆ แห่งที่มีสหรัฐฯ เข้าไปเกี่ยวข้อง
โดยหลังจากโชว์ผลงานในการให้บริการทหารอเมริกันที่ถูกส่งไปประจำในคาบสมุทรบอลข่าน
ทั้งด้านที่พัก อาหาร น้ำ ไปรษณีย์ ซักรีด และจัดหาอุปกรณ์หนัก (ซึ่ง งานนี้
Halliburton ฟันไป 3 พันล้านดอลลาร์) ได้น่าประทับใจแล้ว Halliburton ก็ได้รับความไว้วางใจอีกครั้งให้ได้รับสัญญาระยะ
10 ปีเมื่อเดือนธันวาคม 2001 ให้เป็นผู้ให้บริการดังกล่าวแก่กองทัพสหรัฐฯ
ทั่วโลก
KBR ได้รับการประกันรายได้จากโครงการ Logistics Civil Augmentation ของเพนตากอน
หรือกระทรวงกลาโหมของสหรัฐฯ ผ่านวิธีการจ่ายค่าจ้างที่เรียกว่า cost-plus
arrangement ซึ่งเป็นวิธีที่ประกันว่า KBR จะได้รับรายได้ในระดับที่คืนทุนอย่างแน่นอน
แล้วยังบวกกำไรตามที่กำหนด หากสามารถทำงานทุกอย่างได้ ตรงตามเงื่อนไขต่างๆ
ที่ระบุในสัญญา
จนถึงวันนี้ KBR รับทรัพย์จากรัฐบาลผ่านโครงการประกันรายได้นี้ไปแล้ว 830
ล้านดอลลาร์ ตอนนี้ KBR ยังช่วยดูแลจัดการฐานทัพอากาศ Incirlik และฐานทัพอื่นๆ
ของอเมริกันในตุรกี โดยได้รับค่าตอบแทน 118 ล้านดอลลาร์ และรับอีก 65 ล้านดอลลาร์จากการบริการฐานทัพในอัฟกานิสถาน
และ Uzbekistan
นอกจากนี้ ยังมีรายได้อีก 33 ล้านจากการสร้างคุกคุมขังผู้ต้องสงสัยว่าเป็นสมาชิกกลุ่มก่อการร้าย
Qaeda ในอ่าว Guantanamo ในคิวบา สรุปแล้ว รายได้จากสัญญาที่ Halliburton
ได้รับจากรัฐบาล ขยายตัวถึง 40% เพียง ช่วง 3 เดือนสุดท้ายของปี 2002
การได้รับงานจากรัฐบาลเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดเสียงครหาว่า
Halliburton อาศัยเส้นสายบารมีของรองประธานาธิบดี Dick Cheney ซึ่งเป็นอดีต
CEO ของบริษัทจนถึงเดือนสิงหาคม 2000 ก่อนจะมารับตำแหน่งใหญ่โตในรัฐบาล
ทั้งนี้ Cheney ได้รับรายได้สุทธิจำนวน 30 ล้านดอลลาร์จากหุ้นและ option
ของ Halliburton ก่อนที่เขาจะมารับตำแหน่งทางการเมือง และทุกวันนี้ บริษัทยังคงจ่ายค่าตอบแทนให้เขา
1 ล้านดอลลาร์ทุกๆ ปี แน่นอน Lesar ปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าวโดยโต้ว่า Cheney
มิได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับกระบวนการจัดซื้อของ Halliburton เพราะนั่นเป็นการละเมิดกฎหมาย
นอกจากนี้ บริษัทมีประวัติยาวนานในการเป็นผู้รับเหมาให้แก่รัฐบาลย้อนหลังไปได้ถึงสมัยสงครามโลกครั้งที่
2 เมื่อบริษัทรับงานต่อเรือให้แก่กองทัพเรืออเมริกัน
ความจริงแล้ว มรดกที่ Cheney ทิ้งไว้ให้ Halliburton น่าจะเป็นความปวดเศียรเวียนเกล้ามากกว่า
ในสมัยของเขามีการซื้อบริษัทคู่แข่งชื่อ Dresser Industries เป็นเงิน 7.7
พันล้านดอลลาร์ใน ปี 1998 ปรากฏว่าผลของการซื้อกิจการครั้งนี้ ทำให้ Halliburton
ต้องรับผิดชอบหนี้สินจำนวนมหาศาลของ Dresser อันเกิดจากการที่บริษัทในเครือแห่งหนึ่งของ
Dresser เคยนำสาร asbestos ซึ่งเป็น สารก่อมะเร็งมาใช้เคลือบอิฐและท่อส่งน้ำมัน
เมื่อ Halliburton ประกาศในเดือนธันวาคมปี 2001 ว่า แพ้คดี asbestos หลายคดี
ราคาหุ้นของบริษัทร่วงดิ่งลงทันทีถึง 43% ภายในเวลาเพียงวันเดียว จนนักลงทุนถึงกับกังขาว่าบริษัทจะไปรอดหรือไม่
อย่างไรก็ตาม Lesar เชื่อว่า เขาหาทางออกที่สวยงามในเรื่องนี้ได้แล้ว เดือนธันวาคมปีกลาย
Halliburton บรรลุข้อตกลงกับทนายของฝ่ายโจทก์ ข้อตกลงนี้เรียกว่า "การล้มละลายในวงจำกัด"
(contained bankruptcy) ของ KBR สาระสำคัญคือ Halliburton จะรอดพ้นจากการล้มละลาย
ส่วน KBR จะต้องถูกปรับโครงสร้าง อาจจะด้วยวิธีขายสินทรัพย์บางส่วนออกไป
แล้วนำกำไรที่ได้มาจัดตั้งเป็นกองทุนเพื่อจ่ายค่าชดเชยให้แก่คดีฟ้องร้องเกี่ยวกับสาร
asbestos ที่ยังค้างคาอยู่ถึง 320,000 คำร้อง
แม้ว่าการบรรลุข้อตกลงนี้คาดว่าจะทำให้ Halliburton ต้องจ่ายเงินมากถึง
4 พันล้านดอลลาร์ แต่หุ้นของบริษัทก็สามารถดีดตัวกลับขึ้นไปอยู่ที่ระดับ
22 ดอลลาร์ต่อหุ้น หรือพอๆ กับราคาหุ้นก่อนที่จะร่วงดิ่งลง
ในสมัยของ Cheney Halli-burton ยังถูกคณะกรรมการกำกับตลาด หลักทรัพย์สหรัฐฯ
(SEC) สอบสวน เนื่องจากสงสัยว่าบริษัทมีการบันทึกรายได้อย่างไม่เหมาะสม โดยบันทึกรายได้ที่ได้รับจากลูกค้ารายที่บริษัทไม่สามารถควบคุมต้นทุนการก่อสร้างได้
ในอดีต Halliburton จะบันทึกรายได้เฉพาะเมื่อได้รับเงินจริงเท่านั้น แต่ในปี
1998 บริษัทได้เปลี่ยนวิธีลงบัญชีโดยไม่ยอมเปิดเผยให้สาธารณชนรู้จนกระทั่งในปีถัดมา
โดยอ้างว่า การเปลี่ยนแปลงวิธีลงบัญชีดังกล่าวเกี่ยวข้อง กับรายได้จำนวนน้อยนิดเพียง
89 ล้าน ดอลลาร์เท่านั้น ในปีที่บริษัทมีรายได้มหาศาลถึง 17 พันล้านดอลลาร์
อย่างไรก็ตาม รายได้จำนวน 55 ล้านดอลลาร์ของรายได้จำนวนที่มีปัญหาดังกล่าว
มีผลโดยตรงต่อตัวเลขผลกำไรของบริษัท โดยคิดเป็นสัดส่วน ถึง 7% ของกำไรหลังหักภาษีของบริษัท
แต่ Halliburton ก็โต้ว่าวิธีทำบัญชีของบริษัทเป็นวิธีมาตรฐาน และได้รับการรับรองจากผู้สอบบัญชี
ซึ่งในอดีตคือ Arthur Andersen และปัจจุบันคือ KPMG
เมื่อปัญหาการฟ้องร้องเรื่องสาร asbestos สามารถคลี่คลายลงได้ และบริษัทสามารถเคลียร์ตัวเองกับ
SEC เกี่ยวกับเรื่องวิธีทำบัญชีได้เรียบร้อย Halliburton ก็เตรียมจะเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ได้อย่างขนานใหญ่ในงานฟื้นฟูบูรณะอิรัก
ซึ่งว่ากันว่ามีมูลค่ามหาศาลถึง 100 พันล้านดอลลาร์ เนื่องจาก Halliburton
น่าจะเป็นบริษัทที่ได้รับส่วนแบ่งเค้กชิ้นโต
แม้แต่ในขณะนี้ Halliburton ก็ได้รับสัญญาว่าจ้างให้ดับเพลิงที่ลุกไหม้บ่อน้ำมันในอิรัก
รวมถึงทำการประเมินและซ่อมแซมบ่อน้ำมันไปแล้ว ด้วยค่าจ้างที่ไม่เป็นที่เปิดเผย
และแม้ว่า Halliburton จะพลาดการได้รับสัญญาก่อสร้างฉบับหนึ่งที่มีมูลค่า
600 ล้านดอลลาร์ไป แต่ก็ยังมีโอกาสจะได้เป็นผู้รับเหมาช่วงได้ นอกจากนี้ยังมีสัญญาอีกหลายฉบับที่
Halliburton น่าจะคว้ามาได้สำเร็จ
และถึงแม้เสียงปืนจะหายไปและการสร้างชาติอิรักจะเสร็จสิ้นลง แต่ Halliburton
จะยังคงมีบทบาทในอิรัก ยุคหลังประธานา ธิบดีซัดดัม ได้ต่อไปอีกยาวนาน เพราะอิรักจะกลายสภาพไปเป็นเหมือนบริษัทน้ำมันข้ามชาติรายใหญ่
ผู้ขุดเจาะเอาน้ำมันสำรองปริมาณมหาศาลใต้พื้นดินของตนขึ้นมา และนั่นก็จะทำให้อิรักกลาย
เป็นลูกค้ารายสำคัญของ Halliburton ซึ่งมีธุรกิจหลักคือ การให้บริการครบวงจรแก่ผู้ขุดเจาะและผลิตน้ำมัน
ผลก็คือ Halliburton จะยังคงเป็นเสือนอนกินต่อไปในอิรัก ตราบนานเท่านาน แม้ว่ากองทัพสหรัฐฯ
จะจากอิรักไปนานแล้วก็ตาม
แปลและเรียบเรียงจาก FORTUNE April 14, 2003
โดย เสาวนีย์ พิสิฐานุสรณ์
linpeishan@excite.com