|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
เศรษฐกิจบ่มพิษร้าย คาดปีหน้า "ธุรกิจฟาสต์ฟู้ดส์" ส่อแววปรับราคาเพิ่ม 3-5 บาทต่อเมนู หลังแบกรับต้นทุนหลังแอ่นมาทั้งปี ด้าน"เอแอนด์ดับบลิว" จ่อขึ้นราคารายสุดท้าย หวังอีก 5 ปีสยายปีกสู่ 100 สาขาแน่ ส่วนเป้ารายได้สิ้นปี 2551 มั่นใจเติบโตอีก 7%
นายเกียรติศักดิ์ ฉมาภิสิษฐ ผู้จัดการฝ่ายปฎิบัติการ บริษัท เอ แอนด์ ดับบลิว เรสเตอรองต์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ผลจากสภาพเศรษฐกิจ และราคาน้ำมันที่ขึ้นราคาอย่างต่อเนื่องตลอดปีที่ผ่านมา ส่งผลให้วัตถุดิบต่างๆที่ใช้ประกอบอาหาร คาดว่าจะมีราคาเพิ่มสูงขึ้นแน่ในปีหน้า ยกตัวอย่าง เช่น ผลิตภัณฑ์จากนมทั้งหมดขึ้นคาดว่าจะขึ้นราคาถึง 100% น้ำมันพืชขึ้นราคาเพิ่มอีกประมาณ 30% นอกจากนี้ยังมีแป้ง และไก่สดที่เตรียมจะขึ้นราคาอีกส่วนหนึ่งด้วย หลังจากที่ผู้ประกอบการตรึงราคามาระยะหนึ่งแล้ว
ดังนั้นจึงคาดว่าปีหน้ากลุ่มธุรกิจฟาสต์ฟู้ดส์ทุกรายในตลาด จะต้องมีการปรับราคาขึ้นอย่างแน่นอน อย่างน้อย 3 - 5 บาทแล้วแต่เมนู ทั้งนี้ทางเอแอนด์ดับบลิวจะขอรอดูสถานการณ์หลังผู้เล่นในตลาดมีการปรับราคาขึ้นสักระยะหนึ่งก่อน จึงจะขอปรับราคาขึ้นตาม
"หากผู้นำของกลุ่มธุรกิจฟาสต์ฟู้ดส์ มีการปรับขึ้นราคาสินค้าเมื่อไหร่นั้น ทางเอแอนด์ดับบลิวก็จะมีการปรับราคาสินค้าขึ้นตามเช่นกัน แต่จะไม่ขึ้นราคาตามในทันที ขอดูสถานการณ์ไปอีกสักระยะ ทั้งนี้ส่วนหนึ่งเพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้บริโภคที่จะได้รับประทานอาหารที่คล้ายคลึงกันในราคาเดิม"
นายเกียรติศักดิ์ กล่าวถึงแผนการทำตลาดปีหน้าต่อว่า แผนการดำเนินธุรกิจของเอแอนด์ดับบลิวในปีหน้า จะยังคงเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไปเช่นในปีที่ผ่านมา เนื่องจากเอแอนด์ดับบลิวยังเป็นบริษัทขนาดเล็กอยู่ อีกทั้งภาวะเศรษฐกิจในช่วงนี้ก็ยังไม่ดี การขยายธุรกิจอย่างไม่รีบร้อนจึงเป็นสิ่งที่ดีที่สุด
ทั้งนี้บริษัทฯมีแผนที่จะขยายสาขาเพิ่มอย่างน้อย 8 สาขาต่อปี โดยเน้นขยายไปกับปั้มน้ำมันเป็นหลัก และการเปิดร้านแบบสแตนด์อโลน โดยในปีหน้าบริษัทฯจะเปิดสาขาใหม่ภายในปั้มน้ำมัน 6 สาขา ภายใต้งบลงทุนแต่ละสาขาที่ 2-3 ล้านบาท ส่วนสแตนอโลนจะเปิดอีก 2 สาขา แต่ละสาขา คาดว่าจะใช้งบลงทุนที่ 8 ล้านบาท ส่วนแผนการขยายสาขาไปต่างจังหวัดที่ไกลออกไป เช่น เชียงใหม่ ภูเก็ต ได้รับการติดต่อจากปั้มน้ำมันที่เป็นพันธมิตรให้เข้าไปเปิดเช่นกัน แต่ทางเอแอนด์ดับบลิวมองว่า ยังไม่มีความพร้อมทางด้านการขนส่งสินค้า จึงยังไม่สามารถเปิดสาขาที่ต่างจังหวัดที่ไกลจากกรุงเทพฯอย่างนี้ได้
โดยในปัจจุบันเอแอนด์ดับบลิวเปิดให้บริการแล้ว 31 สาขา ซึ่งเป็นสาขาที่เปิดให้บริการภายในปั้มน้ำมัน 28 สาขา และเป็นสแตนอะโลน 3 สาขา ซึ่งเป็นสาขาที่เปิดใหม่ในปีนี้เพียง 4 สาขา ทั้งนี้ในอีก 2 ปี คาดว่าจะขยายครบ 50 สาขา โดยส่วนหนึ่งจะเป็นการขยายสาขาที่ครอบคลุมพื้นที่กรุงเทพฯ ซึ่งคาดว่าจะเพียงพอที่จะเพิ่มบริการเดลิเวอรี่ในอนาคตต่อไปด้วย นอกจากนี้ในอีก 5 ปีข้างหน้า มั่นใจว่าจะขยายสาขาเพิ่มจนครบ 100 สาขาตามแผนระยะยาวที่วางไว้
อย่างไรก็ตาม ภาพรวมรายได้ของของเอแอนด์ดับบลิวในปีนี้ คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตประมาณ 3% โดยแต่สาขามีอัตราการเติบโตของยอดขายอยู่ที่ 3% เช่นเดียวกัน ส่วนในปีหน้าคาดว่าภาพรวมรายได้จะเติบโตขึ้น 7% จากการขยายสาขาเป็นหลัก ส่วนอัตราการเติบโตของยอดขายแต่ละสาขา คาดว่าจะเติบโตขึ้นอย่างน้อย 3%เท่าปีนี้ ซึ่งการเติบโตนี้ มองว่าขึ้นขึ้นอยู่กับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจเป็นหลัก
ขณะที่ยอดขายของร้านเอแอนด์ดับบลิวจะมาจาก 2 กลุ่มเมนูหลัก คือ 1.อาหาร 80% และ2.เครื่องดื่มอีก 20% โดยในกลุ่มเครื่องดื่มนี้ ยังแบ่งออกได้เป็น กาแฟร้อน 5% และรูทเบียร์ 15% อีกด้วย ทั้งนี้หลังจากที่ได้ร่วมดำเนินธุรกิจกับทางเนสกาแฟกูรเมได้ประมาณ 2 เดือน ส่งผลให้ยอดขายกาแฟเพิ่มขึ้นเป็น8% และเมนูอาหารเช้ายังได้รับความสนใจมากขึ้นด้วย ซึ่งเมนูหลักของเอแอนด์ดับบลิว ที่ผู้บริโภคยังให้ความสนใจมากที่สุด คือ รูทเบียร์ และวาฟเฟิล
|
|
|
|
|