บสก.ชี้ปีหน้าสัญญาณเอ็นพีแอลทั้งระบบจะปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อย โดยราคาบ้านใหม่ขยับขึ้นแน่นอน จากราคาน้ำมันที่ยังคงมีการปรับตัวสูงขึ้น ยืนยันไทยไม่เกิดภาวะฟองสบู่แตกซ้ำรอยเดิม เพราะการเก็งกำไรอสังหาฯตอนนี้มีแค่เฉพาะจุด ส่วนดอกเบี้ยขาขึ้นไม่กระทบลูกค้าเงินผ่อน ตั้งเป้าปีหน้าโกยรายได้ 10,800 ล้านบาท และตั้งสำรองIAS39 เพิ่มอีก 1,000 ล้านบาท หลังปีนี้ตั้งไปแล้วกว่า 1,000 ล้านบาท
นายบรรยง วิเศษมงคลชัย กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (บสก.) เปิดเผยว่า สัญญาณหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ในปีหน้าของตลาดรวม มีแนวโน้มมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย เนื่องจากจะยังมีปัจจัยลบเข้ามากดดัน เช่น ราคาน้ำมัน อัตราดอกเบี้ยที่คาดว่าจะเริ่มมีการปรับตัวขึ้นหลังจากไตรมาสแรกของปีหน้า รวมถึงอัตราเงินเฟ้อที่จะขยับสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด รวมถึงค่าเงินบาทที่จะยังคงแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับปีนี้
โดยจากปัจจัยดังกล่าวยังส่งผลให้ในปีหน้าราคาบ้านใหม่จะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน เนื่องจากอัตราค่าแรงงาน ค่าวัสดุก่อสร้างจะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งจะเป็นโอกาสให้ บสก.สามารถบุกตลาดบ้านมือสองที่ปรับปรุงพร้อมอยู่และขายได้ง่ายขึ้น ส่วนโอกาสที่จะเกิดภาวะฟองสบู่แตกในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทยนั้นคงไม่มีให้เห็น เนื่องจากอสังหาฯที่ล้นตลาดและมีการเก็งกำไรอยู่ในขณะนี้มีเฉพาะในส่วนที่เป็นคอนโดมิเนียมเท่านั้น ซึ่งแตกต่างจากในอดีตที่จะมีการเก็งกำไรและขายใบจองในทุกส่วนของภาคอสังหาฯ
ทั้งนี้จากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นนั้นเชื่อว่าจะคงจะกระทบต่อลูกค้าลูกค้าแบบผ่อนชำระของ บสก. ซึ่งอัตราดอกเบี้ยจะอิงกับอัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี (เอ็มแอลอาร์) บ้างแต่ไม่มากนัก เนื่องจากแนวโน้มการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยจะเป็นแบบทยอยปรับครั้งละไม่เกิน 0.25% และระยะเวลาในการปรับขึ้นแต่ละครั้งจะค่อนข้างห่างกันพอสมควร เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อผู้บริโภค รวมถึงอัตราดอกเบี้ยที่ บสก.คิดนั้นจะเป็นแบบเอ็มแอลอาร์ – 3.00% ซึ่งถือว่าอยู่ในอัตราที่ถูกที่สุดในตลาด
อย่างไรก็ตามในปีหน้า บสก.จะพัฒนาในเรื่องของระบบการทำงานเพื่อพัฒนาฐานะให้มีความแข็งแกร่ง โดยจะเดินตามกฎระเบียบของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)ทั้งหมด ซึ่งในปีนี้ บสก. ได้มีการตั้งสำรองตามเกณฑ์ IAS39 ไปแล้วกว่า 1,000 ล้านบาทและปีหน้าจะสำรองอีกประมาณ 1,000 ล้านบาท เพื่อเป็นการสร้างความน่าเชื่อถือให้กับ บสก.ในการเป็นองค์กรที่รับบริหารหนี้แบบถาวร และเป็นการรองรับความเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
"การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนั้นคงต้องดูหลายองค์ประกอบ เพราะหากปรับขึ้นแล้วจะทำให้คนมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ส่วนของแบงก์ต่าง ๆ คงยังไม่ขึ้นเพราะตอนนี้สภาพคล่องยังมีอยู่เยอะ รวมถึงสภาวะการแข่งขันยังคงรุนแรง ทำให้สิ้นปีนี้คงยังไม่เห็นดอกเบี้ยขึ้น แต่ปีหน้าอาจจะเริ่มเห็นช่วงหลังไตรมาสแรกไปแล้ว" นายบรรยง กล่าว
นายบรรยง กล่าวอีกว่า สำหรับเป้าหมายการดำเนินงานของ บสก.ในปีหน้านั้น เบื้องต้นคาดว่าจะมีรายได้รวมอยู่ที่ 10,600 ล้านบาท ซึ่งตัวเลขดังกล่าวจะต้องมีการเสนอไปยังกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ( FIDF) อีกครั้งในเดือนมกราคม รวมถึงจะมีการเสนอแผนงานและทิศทางการดำเนินงานของ บสก.ในอนาคตอีกด้วย
สำหรับผลการดำเนินงานในปีนี้คาดว่าจะมีรายได้รวมอยู่ที่ 10,800-11,000 ล้านบาท ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายที่กองทุนฟื้นฟูฯ ได้ตั้งไว้ที่ 12,000 ล้านบาท จากปัจจุบันทำได้แล้ว 10,300 ล้านบาท โดยในปีนี้ได้มีการรับซื้อหนี้มาบริหารเกือบ 10,000 ล้านบาท โดยเป็นการรับซื้อสินทรัพย์รอการขาย (เอ็นพีเอ) จากสมาคมธนาคารไทยประมาณ 4,000 ล้านบาท และในช่วงที่เหลือยังมีการเจรจาซื้อหนี้จากธนาคารนครหลวงไทยอีกประมาณ 4,000 ล้านบาท
|