Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน4 ธันวาคม 2550
"ประชัย"อุทธรณ์สู้คดีปั่นหุ้นหลังศาลพิพากษาจำคุก 3 ปี             
 


   
www resources

โฮมเพจ ทีพีไอโพลีน

   
search resources

ทีพีไอ โพลีน, บมจ.
ประชัย เลี่ยวไพรัตน์
Law




ศาลพิพากษาจำคุก “ประชัย-เชียรช่วง” ร่วมปั่นหุ้นทีพีไอคนละ 3 ปี ส่วน บมจ.ทีพีไอ โพลีน กับ บ.ที่ปรึกษา ปรับอ่วมเกือบ 7 พันล้าน เจ้าตัวน้ำตาคลอบอกถูกกลั่นแกล้ง ยื่นพันธบัตร 1 ล้าน ประกันสู้คดีชั้นอุทธรณ์ กกต.ยัน เป็น ส.ส.ได้แต่หมดสิทธิ์นั่งรัฐมนตรี

วานนี้ (3 ธ.ค.) ที่ศาลอาญา ศาลอ่านคำพิพากษาในคดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 1 เป็นโจทก์ฟ้อง บริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน)โดยนายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ และนายชัยณรงค์ แต้ไพสิฐพงษ์ ในฐานะกรรมการผู้มีอำนาจ , นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ อายุ 62 ปี หัวหน้าพรรคมัชฌิมาธิปไตย ในฐานะประธานผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการ บมจ.ทีพีไอ , บริษัท สเติร์น สจ๊วต (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) และนายเชียรช่วง กัลยาณมิตร อายุ 54 ปี กรรมการบริหารบมจ. เสติร์น ฯ เป็นจำเลยที่ 1 - 4 ในความผิดฐาน เป็นบริษัทเจ้าของหลักทรัพย์ หรือผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในหลักทรัพย์ เผยแพร่ข้อมูลและร่างหนังสือชี้ชวนการเสนอขายหลักทรัพย์ก่อนวันที่หนังสือชี้ชวนจะมีผลบังคับใช้ทำให้บุคคลอื่นเข้าใจว่าหลักทรัพย์ใดจะมีราคาสูงขึ้นหรือลดลง (ปั่นหุ้น) และร่วมกันกระทำการใดๆ อันเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่ผู้รับผิดชอบในการดำเนินกิจการของบริษัทที่ออกหลักทรัพย์ อันเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535 ม.77 และ 239 และประกาศสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ คดีนี้จำเลยทั้ง 4 ให้การปฏิเสธโดยตลอด

ศาลพิเคราะห์คำเบิกความและพยานหลักฐานแล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าบริษัทจำเลยที่ 1 ได้ยื่นคำขออนุญาตขายหุ้นสามัญออกใหม่เพื่อเพิ่มการลงทุนของบริษัทถึง 3 ครั้ง ต่อ ก.ล.ต.โดยครั้งแรกในวันที่ 3 ต.ค.44 แต่ยื่นเอกสารแสดงข้อมูลสถานะการเงินไม่ครบถ้วน ต่อมาได้มีการยื่นคำขอพร้อมเอกสารเสนอขายหุ้นอีกครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 3 ต.ค.45 โดยบริษัทจำเลยที่ 1 แสดงข้อมูลการประเมินมูลค่า 714 ล้านบาทเศษ เท่ากับมูลค่าหุ้น 14 บาทต่อหุ้น ซึ่งมีการแจ้งว่าเสนอขายหุ้นเพื่อนำเงินมาปรับโครงสร้างการชำระหนี้และ ซื้อเครื่องจักรปูนซีเมนต์โดย ก.ล.ต.ให้หนังสือชี้ชวนเสนอขายหุ้นมีผลบังคับวันที่ 16 มี.ค.46 แต่การเสนอขายหุ้นครั้งนั้นพบว่ามีผู้มาจองหุ้นจำนวนไม่ครบเต็มจำนวน จึงมีการขอแจ้งยกเลิกในวันที่ 30 มี.ค.46 จากนั้นบริษัทจำเลยที่ 1 ได้ยื่นคำขอเสนอขายหุ้นอีกเป็นครั้งที่ 3 เมื่อวันที่ 30 ก.ย.46 จำนวน 300 ล้านหุ้น โดย ก.ล.ต. อนุญาตการเสนอขายเมื่อวันที่ 14 พ.ย.46 และให้หนังสือชี้ชวนการเสนอขายหุ้นมีผลบังคับในวันที่ 22 ม.ค.47 แต่ก่อนการอนุญาตให้ขายหุ้น เมื่อวันที่ 15 ก.ย.46 บริษัทจำเลยที่ 1 ได้ติดต่อบริษัทเวิล์ดไวลด์ มีเดียจำกัด เพื่อซื้อสื่อในการโฆษณาขายหุ้น - เพิ่มทุนดังกล่าว และในวันที่ 16 ก.ย.46 บริษัทจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 และ บจก.เวิล์ดไวลด์ฯ ได้ว่าจ้างบริษัทคิดส์แอนด์คิม คอมมูนิเคชั่น คอนซัลแทนท์ จำกัด ในการจัดทำข้อมูลเพื่อเผยแพร่การเสนอขายหุ้น

ต่อมาวันที่ 6 ต.ค.46 บริษัทจำเลยที่ 1 ว่าจ้าง บริษัทจำเลยที่ 3 โดยจำเลยที่ 4 ให้ประเมินคุณค่าองค์กรบริษัทจำเลยที่ 1 ซึ่งมีมูลค่าอยู่ที่ 91,387 ล้านบาท เมื่อหักมูลค่าหนี้แล้ว จะเหลืออยู่ที่ 44,000 ล้านบาทเศษ ซึ่งราคาหุ้นที่เหมาะสมอยู่ที่ราคา 89 บาทต่อหุ้น จากนั้นเมื่อวันที่ 2-3 พ.ย.46 จากนั้น บ.คิดส์แอนด์คิม ได้นำข้อมูลดังกล่าวซึ่งผ่านความเห็นชอบจากบริษัทจำเลยที่ 3 ไปเผยแพร่

ส่วนที่จำเลยนำสืบโต้แย้งว่าการนำเสนอข้อมูลประเมินคุณค่าองค์กรเผยแพร่ทางสื่อมวลชน เป็นการนำเสนอข้อมูลในเชิงวิชาการ เห็นว่าข้อมูลที่ได้มีการนำเสนอเผยแพร่ทางสื่อนั้นส่วนใหญ่เป็นการแสดงตัวเลขมูลค่า ซึ่งมีผลต่อการวิเคราะห์และตัดสินใจซื้อหุ้นของประชาชน และเมื่อพิจารณาถึงการยื่นคำขออนุญาตเสนอขายหุ้นบริษัทจำเลยที่ 1 ที่เป็นเวลาใกล้เคียงกับการยื่นคำขออนุญาตเสนอขายหุ้นครั้งที่ 3 เพราะการเสนอขายหุ้นครั้งที่ 2 มีผู้จองซื้อหุ้นไม่ครบเต็มจำนวน ดังนั้นจึงเชื่อว่าเป็นมูลเหตุจูงใจที่จะต้องมีการนำเสนอข้อมูลการประเมินคุณค่าในการเสนอขายหุ้นครั้งที่ 3 ข้อต่อสู้ของจำเลยจึงไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานโจทก์ได้ ซึ่งโจทก์ยังมีพยานซึ่งเป็นผู้ซื้อหุ้นทั่วไปอีก 3 ปากเบิกความว่าเมื่อได้รับทราบข้อมูลการเสนอขายหุ้นซึ่งแสดงตัวเลขประเมินคุณค่าองค์กรผ่านการโฆษณาทางสื่อมวลชน จึงได้ตัดสินใจซื้อหุ้นของบริษัทจำเลยที่ 1

จำคุก 3 ปีปรับกว่า 6,900 ล้าน

พิพากษาว่าจำเลยที่ 1-4 มีความผิดตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์ ฯ ม.77, 239, 280 และ 296 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา ม.83 อันเป็นการกระทำผิดหลายกรรม ให้เรียงกระทงลงโทษ ตามประมวลกฎหมายอาญา ม.91 ให้จำคุกจำเลยที่ 2 และที่ 4 คนละ 3 ปี และปรับจำเลยที่ 1 และ 3 คนละ 6,900,300,000 บาท การกระทำของจำเลยก่อให้เกิดความเสียหายต่อเศรษฐกิจของประเทศในวงกว้าง จึงไม่มีเหตุให้รอการลงโทษ

หลังฟังคำพิพากษานายประชัย มอบอำนาจให้ทนายความยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์เป็นพันธบัตรรัฐบาลมูลค่า 1 ล้านบาท ส่วนนายเชียรช่วง ใช้หลักทรัพย์เป็นเงินสดจำนวน 3 แสนบาทยื่นขอประกันตัว ศาลพิเคราะห์แล้วอนุญาตให้ประกันตัวออกไปโดยตีราคาประกันคนละ 3 แสนบาท

"ประชัย" ซึม-ผู้ติดตามให้กำลังใจ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายประชัยและนายเชียรช่วง เดินทางมาฟังคำพิพากษาพร้อมกับผู้ติดตาม ตั้งแต่เวลา 09.00 น. มีสีหน้าท่าทางเรียบเฉย เมื่อนักข่าวเข้าไปขอสัมภาษณ์นายประชัย ยิ้มให้พร้อมกล่าวสั้นๆว่า “ขอตัวขึ้นไปฟังคำพิพากษาก่อน” โดยระหว่างที่อยู่ห้องพิจารณานายประชัย ต้องนั่งรอศาลพิจารณาคดีอื่น จนกระทั่งเวลา 12.00 น. ซึ่งเป็นคิวอ่านคำพิพากษาของตนเอง นายประชัย ซึ่งนั่งอยู่หลังห้องได้ลุกเดินมายังหน้าบัลลังก์เพื่อรับฟังคำพิพากษา มีสีหน้าไม่ค่อยสดใสนัก เมื่อศาลถามว่าจะพักรับประทานอาหารกลางก่อนฟังคำพิพากษาหรือไม่ นายประชัย ตอบว่า “ขอให้ศาลอ่านคำพิพากษาเลย เนื่องจากจะต้องรีบไปปราศรัยหาเสียงต่อในช่วงบ่าย ” ศาลจึงเริ่มอ่านคำพิพากษาใช้เวลาประมาณเกือบ 1 ชั่วโมง เมื่อศาลอ่านคำพิพากษาจำคุก นายประชัย มีสีหน้าเศร้าซึม ผู้ติดตามต้องเข้าไปพูดคุยเพื่อให้กำลังใจ

ยันไม่ห่วงคดีเตรียมอุทธรณ์สู้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะที่เจ้าหน้าตำรวจศาลได้พาตัวนายประชัย จากห้องพิจารณาคดี ลงลิฟต์มายังห้องพักชั้น 2 เพื่อรอยื่นคำร้องประกันตัวนั้น นายประชัย ได้กล่าวโดยมีน้ำตาคลอเบ้าว่า “เรื่องคดีไม่เป็นห่วง เพราะยังเชื่อมันในการะบวนการยุติธรรม และจะยื่นอุทธรณ์สู้คดีต่อไปให้ถึงที่สุด ส่วนผลจะออกมาอย่างไรอยู่ที่ดุลยพินิจของศาล”

เมื่อถามว่า การตัดสินของศาลจะมีผลต่อการลงเล่นการเมืองหรือไม่ นายประชัย กล่าวว่า “อาสามาทำงานเพื่อประเทศชาติก็ต้องโดนแบบนี้ เพราะยังมีอิทธิพลของกลุ่มอำนาจเก่าอยู่จึงทำให้ต้องโดนแรงเสียดทานมากขนาดนี้”

ด้าน นายสุทัศน์ เงินหมื่น ทนายความนายประชัย ปฏิเสธที่จะตอบคำว่าอัตราโทษที่ศาลพิพากษาจำคุกนายประชัย เป็นเวลา 3 ปี สูงเกินไปหรือไม่ และปฏิเสธที่จะให้ความเห็นว่าการตัดสินคดีของศาลจะมีผลทำให้นายประชัย เป็นผู้ขาดคุณสมบัติในการลงรับเลือกตั้ง ส.ส.หรือไม่ โดยนายสุทัศน์ กล่าวเพียงว่าในฐานะทนายความ เตรียมยื่นอุทธรณ์คดีต่อไป ซึ่งจะยกคุณงามความดีที่นายประชัย เคยดำรงตำแหน่งเป็น ส.ว. ปฏิบัติภารกิจหน้าที่เพื่อประเทศชาติมาก่อน ไว้ในคำอุทธรณ์ให้ศาลพิจารณาด้วย

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่าต่อมานายเอกยุทธ อัญชันบุตร ประธานกรรมบริหาร บริษัทโอเรียลเต็ล มาร์ท กรุ๊ป ประเทศอังกฤษ เดินทางมาให้กำลังใจ นายประชัย พร้อมกับกล่าวสั้นๆว่า “วันนี้เดินทางมาให้กำลังใจนายประชัย เรื่องที่เกิดขึ้นน่าจะเป็นการถูกกลั่นแกล้งทางการเมือง

นอกจากนี้ ยังมี นายรชฏ พิสิษฐบรรณกร รองเลขาธิการพรรคมัชฌิมาธิปไตย พร้อมผู้สมัคร ส.ส.กทม.พรรคมัชฌิมาธิปไตย 3 คน ได้เดินทางมาให้กำลังใจนายประชัย พร้อมทั้งกล่าวว่า การที่นายประชัย ถูกพิพากษาจำคุกไม่น่าจะมีผลกระทบต่อความนิยมในตัวนายประชัย และพรรค เพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการประกอบธุรกิจมากกว่า และจากที่ได้พูดคุยกับนายประชัย ยังคงมีกำลังใจที่ดี และกล่าวกับพวกตนว่าเรื่องคดีความของตัวเองไม่สำคัญเท่าประเทศชาติ

กกต.ระบุเป็น ส.ส.ได้แต่ห้ามเป็น รมต.

นายประพันธ์ นัยโกวิท กกต.ด้านบริหารการเลือกตั้ง กล่าวถึงกรณีที่ศาลให้ประกันตัวนายประชัย ว่าเรื่องนี้ถือว่านายประชัย ยังไม่ขาดคุณสมบัติรับสมัครรับเลือกตั้ง ทั้งนี้รัฐธรรมนูญ มาตรา 102(4) คุณสมบัติผู้สมัครรับเลือกตั้งจะสิ้นสุดเมื่อต้องคำพิพากษา โดยถูกจำคุก กักขัง ซึ่งหากไม่ถูกจำคุก กักขังเพราะศาลให้ประกันตัวก็สามารถดำเนินกิจกรรมทางการเมืองได้ต่อไป และระหว่างที่มีการต่อสู้ทางคดี ได้รับการเลือกตั้งเป็น ส.ส. ก็สามารถดำรงตำแหน่งได้ต่อไป ตราบจนกว่าผลของคดีจะเป็นที่สิ้นสุด ซึ่งในกระบวนการต่อสู้ทางคดีสามารถต่อสู้อุทธรณ์ได้ถึงชั้นฎีกา ที่ผลคดีจะถึงที่สุดให้รับโทษจำคุก

“นายประชัย จะเป็นได้เพียง ส.ส. หากได้รับการเลือกตั้ง แต่ไม่มีสิทธิที่จะได้เป็นรัฐมนตรี เนื่องจากรัฐธรรมนูญ มาตรา182(3) กำหนดคุณสมบัติต้องห้าม ที่บุคคลต้องคำพิพากษาให้จำคุก กักขัง ทั้งที่ให้รับโทษและรอลงอาญา ก็ถือเป็นบุคคลต้องห้ามในการเป็นรัฐมนตรี"

ตลาดแขวน "H" ราคาร่วง 10 สต.

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้ประกาศขึ้นเครื่องหมาย "H" หลักทรัพย์ของบริษัท ทีพีไอโพลีน จำกัด (มหาชน) หรือ TPIPL เป็นการชั่วคราว ตั้งแต่การซื้อขายรอบบ่ายวานนี้ (3 ธ.ค.) หลังจากศาลอาญามีคำพิพากษาให้ทีพีไอ โพลีน และนายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ (ปัจจุบันดำรงตำแหน่งกรรมการทีพีไอโพลีน ขณะที่ทีพีไอโพลีนเองอยู่ระหว่างฟื้นฟูกิจการภายใต้กฎหมายว่าด้วยล้มละลาย โดยมีทีพีไอโพลีนเป็นผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการ) มีความผิดตามพ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535 โดยพิพากษาให้ปรับ TPIPL 6,900.30 ล้านบาท และจำคุกนายประชัย 3 ปี โดยไม่มีเหตุรอลงอาญา

ทั้งนี้ สืบเนื่องจากตลาดหลักทรัพย์ฯ เห็นว่าเรื่องดังกล่าวอาจจะส่งผลกระทบต่อภาวะการซื้อขายหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์ฯ เองยังไม่ได้รับแจ้งข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์ฯ

ด้านราคาหุ้น TPIPL วานนี้ ราคาหุ้นได้ปรับตัวลดลงทันทีมาอยู่ที่ 3.20 บาท หลังศาลอาญามีคำพิพากษาจากระดับราคาสูงสุดที่ 3.40 บาท ซึ่งลดลงจากวันก่อนหน้า 0.10 บาท คิดเป็น 0.75% มูลค่าการซื้อขายรวม 48.08 ล้านบาท ก่อนที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะประกาศขึ้นเครื่องหมาย H ในการซื้อขายช่วงบ่าย   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us