ดูเหมือนว่ากองทุนรวมลงทุนในต่างประเทศ (Foreign Investment Fund: FIF) จะคึกคักไปถึงปีหน้า หลังจากที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดโอกาสให้มีการลงทุนเกิดขึ้น ภาพของกองทุนที่ไปต่างประเทศในช่วงนี้จะเน้นลงทุนในหุ้น 2-3 ประเภท ประเภทแรกเน้นลงทุนในตลาดเกิดใหม่ (emerging market) สินค้าโภคภัณฑ์ (commodities) น้ำมัน ทอง เหล็ก และหุ้นพลังงานทางเลือกใหม่ (new energy)
หุ้นทั้ง 3 ประเภทนี้เป็นทางเลือกใหม่สำหรับบริษัทจัดการกองทุนรวมของไทยที่จะเข้าไปลงทุนเพิ่มมากขึ้นในปีหน้า ขึ้นอยู่กับว่าแต่ละบริษัทมีการศึกษาตลาดและออกแบบผลิตภัณฑ์เหล่านั้นได้ดีเพียงใด
มาริษ ท่าราบ กรรมการผู้จัดการ บลจ.ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) จำกัด บอกว่าในอีก 3-5 ปีข้างหน้า สินค้าโภคภัณฑ์จะยังคงมีความต้องการไม่หยุด โดยเฉพาะน้ำมัน จากเดิมที่ราคา 50 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล กระโดดไปเป็น 70 ดอลลาร์ และคาดกันว่าน่าจะเห็นที่ราคา 100 ดอลลาร์
รวมถึงถ่านหินที่กำลังจะมีโรงงานไฟฟ้าเกิดใหม่อีก 100 แห่งทั่วโลก ส่วนทองคำ ประเทศตะวันออกกลางที่ขายน้ำมันได้ก็จะหันไปเลือกลงทุนตราสารการเงิน และในจำนวนนั้นจะลงทุนด้านทองคำอย่างแน่นอน เพราะสามารถใช้เป็นเงินทุนสำรองได้
แนวโน้มการลงทุนทองคำที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้ล่าสุด บลจ.ไอเอ็นจีได้ออกกองทุนใหม่อีกครั้ง หลังจากที่ไม่ค่อยประสบความสำเร็จมากนักในการเปิดตัวกองทุนเปิดไอเอ็นจี ไทย โกลบอล วอเตอร์ เป็นกองทุนน้ำที่เปิดตัวในขณะที่สหรัฐอเมริกายังมีปัญหาเรื่องซับไพร์ม
ส่วนกองทุนใหม่ที่เปิดตัวเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา เรียกว่า "กองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย โกลเด้น สตาร์ ลิ้งค์" เป็นการลงทุนในทองคำ เพราะเห็นว่าราคาดอลลาร์อ่อนตัวลง และคาดหวังว่าน่าจะเป็นโอกาสที่ดี เพราะเป็นการลงทุนในดัชนีราคาทองคำ และดัชนีซิตี้ กรุ๊ป เอสแอนด์พี โกลบอล สตาร์ TR อินเด็กซ์ อย่างละ 50%
ผลิตภัณฑ์ตัวใหม่นี้เกิดจากความร่วมมือระหว่างไอเอ็นจีกับซิตี้แบงก์ ธนาคารจะทำหน้าที่คัดเลือกบริษัท 25 แห่งทั่วโลกที่อยู่ในอเมริกา ยุโรป เอเชีย และทำหน้าที่ขายกองทุนนี้ด้วย
กองทุนนี้กำหนดมูลค่าโครงการไว้ 1,500 ล้านบาท ราคาเสนอขาย 10 บาทต่อหน่วย มูลค่าการสั่งซื้อขั้นต่ำ 50,000 บาท แต่กองทุนนี้ค่อนข้างมีความเสี่ยงเพราะเป็นการลงทุนผสมกันระหว่างหุ้นกับทองคำ จะเป็นการลงทุนที่เกี่ยวพันกันหรือไปคนละทางก็ได้ เพราะหุ้นมีความหวือหวา ในขณะที่ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่มูลค่าเพิ่ม แต่มาริษเองก็มองในแง่ดีว่า ผู้ลงทุนน่าจะได้รับผลตอบแทนที่ดีในระยะเวลา 2 ปี 10 เดือน
และการลงทุนผ่านตราสารหนี้จะมีลักษณะของสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแฝงที่จ่ายชำระคืนเงินต้นเต็มจำนวน แม้ว่าราคาหุ้นและราคาทองคำจะปรับตัวลงก็ตาม ส่วนความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนนั้น ทางกองทุนจะทำสัญญาป้องกันความเสี่ยงด้านเงินตราต่างประเทศ (FX Hedging) เพื่อรักษาเงินต้นในรูปเงินบาท
ขณะที่ บลจ.ไอเอ็นจีเลือกลงทุนในทองคำ แต่ บลจ.ธนชาติ จำกัด เลือกลงทุน FIF ในกลุ่มของพลังงานใหม่ (new energy) ถือว่าเป็นการเกาะกระแสที่ทั่วโลกกำลังให้ความสนใจเกี่ยวกับภาวะโลกร้อน ในขณะเดียวกันราคาน้ำมันที่มีราคาเพิ่มขึ้นทั่วโลก และความต้องการใช้น้ำมันในส่วนของประเทศเศรษฐกิจใหม่อย่างจีนและอินเดียที่ต้องการเพิ่มอย่างต่อเนื่อง
ฉะนั้นพลังงานใหม่จึงเป็นทางเลือกใหม่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกาและยุโรปเริ่มให้ความสำคัญและเริ่มลงทุนในพลังงานลม แสงอาทิตย์ พลังงานเชื้อเพลิงชีวภาพที่ผลิตจากพืชธรรมชาติ ซึ่งเจอร์ราด ครานซี ผู้อำนวยการ แบล็กร็อค ฮ่องกง บอกว่า ในอีก 23 ปีข้างหน้า หรือปี 2573 พลังงานทางเลือกใหม่จะเติบโตเพิ่ม 37% ซึ่งขณะนี้เป็นการลงทุนในระยะเริ่มต้น แต่การลงทุนในวันนี้เป็นการซื้ออนาคต
ครานซียังให้ความเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์น้ำมันว่าราคาน้ำมัน มีโอกาสไปถึง 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และ International Energy Agency (IEA) คาดการณ์ไว้ว่าปริมาณน้ำมันที่ผลิตได้จะไม่พอต่อความต้องการใช้น้ำมันที่มีถึง 5 แสนบาร์เรล และในปี 2551 ราคาน้ำมันจะตึงตัวยิ่งกว่าปี 2550 โดยเฉพาะประเทศที่เป็นตลาดเกิดใหม่
แต่พลังงานทางเลือกใหม่เริ่มมีการพัฒนาเทคโนโลยีรวมถึงการสนับสนุนพลังงานทางเลือกใหม่จากรัฐบาลของประเทศต่างๆ เช่น การยกเว้นภาษี การให้เงินอุดหนุน เหล่านี้จะทำให้ต้นทุนการผลิตพลังงานทางเลือกใหม่ หรือพลังงานสะอาด (clean energy) สามารถแข่งขันได้มากขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับราคาพลังงานแบบดั้งเดิม
ธนชาติจึงได้ออกกองทุนเปิดธนชาตินิวเอ็นเนอร์จีฟันด์ (T-NewEnergy) เพื่อลงทุน MLIIF NEW ENERGY FUND ที่มี BlackRock Merrill Lynch Investment Managers เป็นผู้จัดการกองทุน ซึ่ง BlackRock จะเน้นลงทุนในตราสารทุนของบริษัท หรือกิจการที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มธุรกิจพลังงานทางเลือก (alternative energy) เทคโนโลยีที่เกี่ยวกับพลังงาน (energy technology) รวมถึงพลังงานที่สามารถผลิตขึ้นใหม่ได้ (renewable energy) เป็นต้น
กองทุน T-NewEnergy กำหนดจำนวนเงินลงทุน 1,700 ล้านบาท มูลค่าการสั่งซื้อขั้นต่ำ 10,000 บาท ส่วนความเสี่ยงของกองทุนนี้ บุญชัย เกียรติธนาวิทย์ กรรมการผู้จัดการ บลจ.ธนชาติ บอกว่าเกิดจากราคาน้ำมันลดลง และประเทศเศรษฐกิจใหม่ลดการใช้พลังงาน ซึ่งเขาบอกว่าความเสี่ยงของทั้งสองมีโอกาสเป็นไปได้น้อย เพราะแนวโน้มการใช้น้ำมันเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ที่ผ่านมาธนชาติได้ออกกองทุน FIF 4 กอง อาทิ กองทุนธนชาติ อินฟราสตรัคเจอร์ แอนด์ แนชเชอรัล รีซอร์ส (T-INFRA) มีขนาดกองทุน 1,111 ล้านบาท กองทุนธนชาติแวยูเอ็กซ์ ยูเอสฟันด์ (T-VALUexUS) มีขนาดกองทุน 1,400 ล้านบาท และกองทุนธนชาติโกลบอล บอนด์ ฟันด์ (T-Global Bond) มีขนาดกองทุน 1,437 ล้านบาท ส่วนกองทุนธนชาติ พรีเมียม แบรนด์ฟันด์ (T-PREMIUM BRAND) มีขนาดกองทุน 636 ล้านบาท ซึ่งมีขนาดกองทุนน้อยกว่ากองทุนอื่นๆ เพราะเปิดตัวกองทุนในช่วงที่สหรัฐอเมริกามีปัญหาซับไพร์ม
|