ผลวิจัย"ดิจิทัล คอนซูมเมอร์"ระบุปี 51เทรนด์ดิจิทัลมาแรง อินิชิเอทีฟแนะผู้ประกอบการต้องปรับตัว เปิดรับเทคโนโลยี พร้อมเดินหน้าเข้าสู่"convergence"
ผลวิจัยเรื่อง ดิจิทัล คอนซูมเมอร์ โดยบริษัท อินนิชิเอทีฟ เผยว่า แนวโน้มการบริโภคสื่อในปัจจุบันของผู้บริโภคได้ปรับเปลี่ยนไป จากเดิมที่บริโภคสื่อประเภทเดียว ได้ปรับเปลี่ยนมาเป็นการบริโภคสื่อหลากหลายยิ่งขึ้น ส่งผลให้เจ้าของสินค้าต้องมีการก้าวให้ทันกับเทคโนโลยีที่ทันสมัยและไม่หยุดนิ่ง รวมไปถึงศึกษาความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย ไม่เพียงเท่านั้นยังต้องทำการวัดผลความสำเร็จ การตอบรับของลูกค้า และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือการคอนเวอร์เจนซ์ หรือการควบรวมผสมผสานทุกสื่อเพื่อให้ได้มาซึ่งความสำเร็จ
ปัจจัยที่เจ้าของสินค้าต้องมีการปรับตัวเพื่อรับกับกระแสดังกล่าว เป็นผลมาจากการการวิจัยที่ระบุว่าแนวโน้มการใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศไทยเพิ่มสูงขึ้น เป็นผลมาจากการเติบโตของผู้ใช้ ปัจจุบันตัวเลขผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศไทยมีจำนวน 11 ล้านคน เติบโตกว่า 23 % หรือคิดเป็น 16 % ของประชากร และเมื่อเฉลี่ยเป็นวันพบว่ามีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตจำนวน 800,000 รายต่อวัน ผลจากการใช้อินเทอร์เน็ตในจำนวนที่เพิ่มมากขึ้นของผู้บริโภค ส่งผลให้การโฆษณาผ่านอินเทอร์เน็ตมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นเป็นลำดับ โดยคาดว่าเม็ดเงินโฆษณาในอินเทอร์เน็ตจะเพิ่มขึ้นเป็น 800 ล้านบาทในปีนี้ เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วที่ทำได้ 580 ล้านบาท
นอกเหนือจากการเติบโตของผู้ใช้จนส่งผลให้เม็ดเงินโฆษณาไหลเข้ามาสู่วงจรอินเทอร์เน็ตเป็นจำนวนมากแล้ว ปัยจัยที่มีส่วนในการผลักดันให้การโฆษณาบนอินเทอร์เน็ตเติบโตในปีหน้านั้น ยังประกอบไปด้วย การเปลี่ยนแปลงของสถานีโทรทัศน์ทีไอทีวี ที่จะ เปลี่ยนเป็นสถานีโทรทัศน์สาธารณะ ซึ่งจะทำให้เม็ดเงินโฆษณาจากเจ้าของสินค้าที่แต่เดิมได้เทงบประมาณลงมาได้กระจายออกมายังช่องอื่นๆปัจจัยต่อมาคือการห้ามโฆษณาขนมเด็ก ,การห้ามโฆษณาแอลกอฮอล์ ,การจัดเรทติ้ง ทั้งหมดล้วนเป็นปัจจัยที่มีส่วนในการกำหนดงบโฆษณาของเจ้าของสินค้าในการเลือกช่องทางสื่อต่างๆ
ประกอบกับเทรนด์การบริโภคสื่อแบบควบรวมหรือการบริโภคสื่อแบบผสมผสาน (convergence)ทั้งสื่อหลักและสื่อรองที่นำเสนอผ่านโลกอินเทอร์เน็ต ถือเป็นอีกหนึ่งกระแสที่ทำให้การโฆษณาบนอินเทอร์เน็ตได้รับความนิยมเพิ่มสูงขึ้น ดังจะเห็นจาก สื่อโทรทัศน์ วิทยุ หนังสือพิมพ์ แมกกาซีน โดยเฉพาะกับสื่อโทรทัศน์ที่มีแนวโน้มผู้บริโภคลดลง ในทางกลับกันสื่อโทรทัศน์ออนไลน์ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น ทั้งนี้เพราะการเติบโตของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตที่เพิ่มมากขึ้น ประกอบกับการใช้บริการทีวีอินเทอร์เน็ตสามารถเลือกชมรายการได้ และ สามารถรีรันเทปได้
ในขณะเดียวกันสื่อสิ่งพิมพ์ซึ่งมีอยู่ราว 100 หัวหนังสือก็โดนผลกระทบอันเนื่องมาจากการเติบโตของอินเทอร์เน็ต โดยปัจจุบันสัดส่วนของผู้อ่านผ่านเว็บไซต์เพิ่มมากขึ้น สื่อหลักๆอย่างหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ เดลินิวส์ ข่าวสด ที่มียอดขายสูงสุดรวมไปถึงหนังสือพิมพ์ท้องถิ่งต่างมีการปรับตัวด้วยการนำเสนอข่าวสารผ่านหน้าเว๊บไซต์ของตนเอง ส่งผลให้เจ้าของสื่อต้องมีการนำเสนอผ่านออนไลน์เพื่อให้ครอบคลุมกับผู้อ่านมากขึ้น โดยตัวอย่างของสื่อสิ่งพิมพ์ที่ประสบความสำเร็จบนโลกดิจิทัลคือ ผู้จัดการออนไลน์ที่มีจำนวนผู้อ่านเฉลี่ย 138,000 รายต่อวัน
ด้านการอ่านแมกกาซีนออนไลน์ก็เพิ่มมากขึ้น ตัวเลขผู้อ่านในเขตกรุงเทพมหานครพบว่า ปัจจุบัน ผู้ที่อ่านนิตยสารออนไลน์มีจำนวน 18 % เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาที่มี 16 % ในขณะที่ผู้อ่านแมกกาซีนแต่เพียงอย่างเดียวมีสัดส่วน 7 % ลงลง 1 % เมื่อเปรียบเทียบกับปีที่ผ่านมา ปัจจัยที่ทำให้ความนิยมอ่านแมกกาซีนออนไลน์เพิ่มมากขึ้น เพราะผู้ประกอบการกว่า 100 เจ้าได้นำแมกกาซีนมานำเสนอบนหน้าเว๊บไซต์ ส่งผลให้เกิดความสะดวกสบายในการหาอ่านและมีราคาถูกกว่าหากจะซื้อแมกกาซีนมาอ่านหนึ่งเล่ม
ส่วนวิทยุออนไลน์ก็ได้รับความนิยมมากยิ่งขึ้น ประกอบกับกระแสของไอพอด ที่ผู้บริโภคสามารถดาว์นโหลดเพลงที่ต้องการฟัง ส่งผลให้การฟังเพลงออนไลน์เติบโต โดยเมื่อดูจากสัดส่วนการฟังพบว่ามีผู้บริโภคฟังเพลงออนไลน์เฉลี่ย 1 แสนคนต่อวัน ด้านสื่อวีซีดี ดีวีดี ล้วนโดนผลกระทบกับกระแสดิจิทัล เนื่องจากเว๊บไซต์ที่เปิดบริการดาว์นโหลดหนัง เพลง วีซีดี ต่างๆฟรี ได้รับความนิยม ซึ่งปัจจัยตรงนี้กระทบกับโรงภาพยนตร์เช่นเดียวกัน
อย่างไรก็ตามแม้ธุรกิจโรงภาพยนตร์จะโดนกระทบกับสื่ออินเทอร์เน็ต แต่เมื่อหันมามองงบโฆษณาที่แต่ละค่ายเจ้าของสินค้าหันมาเทงบกลับพบว่า การโฆษณา ณ โรงภาพยนตร์มีอัตราการเติบโตสูงสุด ตัวเลข 10 เดือนของปี 2550 โต 134 % ตามมาด้วยสื่ออินสโตร์ โต 100 % ด้านเจ้าของสินค้าที่เทงบโฆษณามากเป็นอันดับหนึ่งคือ เอนเตอร์เทนเม้นต์ ใช้เม็ดเงินกว่า 6,177 ล้านบาท ลดลง 13 % ตามมาด้วยสินค้ากลุ่มสกินแคร์ 5,779 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15 % และ รถยนต์ 4,614 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12 %
ส่วนสินค้าที่มีการใช้งบโฆษณาสูงเป็นอันดับ1คือ โตโยต้า จำนวน 1,152 ล้านบาท ลดลง 4 % ,เอไอเอส จำนวน 897 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 31 % ,พอนด์ จำนวน 871 ล้านบาท ลดลง 6 % ,สำนักนายกรัฐมนตรี 796 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 42 % และนีเวีย 779 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 6 %
แม้สื่อต่างๆจะโดนอิทธิพลจากการเติบโตของอินเทอร์เน็ต แต่หากเจ้าของสินค้าหรือผู้ประกอบการสามารถปรับตัวให้สอดรับกับเทคโนโลยีที่ได้ก้าวไปข้างหน้า พร้อมทั้งใช้สื่อในแนวผสมผสานให้เป็น โอกาสที่จะประสบความสำเร็จก็มีสูง
ปี 51 คนไทยเลือกจ่ายเงินเพื่อความสะดวกสบาย
ผลวิจัยดังกล่าว ยังระบุให้เห็นถึงพฤติกรรมของผู้บริโภคชาวไทย โดยพบว่าปัจจุบันประชากรในประเทศไทยที่มีอยู่ราว 65.7 ล้านคน จำนวนประชากรมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นลดลง และเมื่อมองไปที่ครอบครัว จากเดิมครอบครัวไทยจะใหญ่ ประกอบไปด้วยพ่อแม่ลูกรวมไปถึงญาติพี่น้อง ปัจจุบันสัดส่วนดังกล่าวลดลง เหลือเพียงพ่อแม่ลูก ส่งผลให้ธุรกิจที่อยู่อาศัยอย่างคอนโด มีแนวโน้มเติบโตสูง เฉพาะในเขตกรุงเทพมหานคร พบว่าอัตราการอยู่อาศัยในคอนโดมิเนียม,แฟลตหรืออพาร์ตเม้นต์ มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 10 % ในขณะที่สัดส่วนของการอยู่อาศัยบ้านนั้นก็มีแนวโน้มลดลงทุกปี
นอกเหนือจากนั้นแล้ว การใช้ชีวิตประจำวันของประชากรส่วนใหญ่ได้ปรับเปลี่ยนไปจากอดีตโดยพบว่าประชากรในปัจจุบันต้องการความสะดวกสบายและรวดเร็ว สอดคล้องกับการเติบโตเรื่องที่อยู่อาศัยซึ่งเป็นคอนโดมิเนียม และสินค้าคอนซูมเมอร์โปรดักส์ที่สามารถพกพาสะดวก หรือ สามารถรับประทานได้ทันที นอกจากนั้นแล้วยังมีอีกหนึ่งธุรกิจที่เติบโตรับกับกระแสของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปคือ ธุรกิจคอนวีเนี่ยนสโตร์ อย่างเซเว่นอีเลฟเว่น
ผลการวิจัยพบว่า ประชากรกว่า 51 % เลือกที่จะใช้บริการของคอนวีเนี่ยนสโตร์ และสินค้าที่ทุกคนเลือกซื้อคือ อาหารจานด่วน หรือ ที่เรียกว่า Ready to eat meal ซึ่งคนไทยกว่า 43 %ที่เลือกใช้บริการดังกล่าว โดยถือเป็นสัดส่วนที่สูงเป็นอันดับหนึ่ง รองลงมาคือจีนและไต้หวัน ซึ่งสาเหตุที่เลือกซื้ออาหารจานด่วนนั้น 87 %ให้เหตุผลว่า สะดวกสบาย ในขณะที่อีก 32 % ให้เหตุผลว่า มีราคาถูกกว่าหากจะต้องทำเอง
|