Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน3 ธันวาคม 2550
นักวิชาการฟันธงตลาดหุ้นไทยปี51ไม่ฟื้น             
 


   
search resources

ศุภวุฒิ สายเชื้อ
Stock Exchange




นักเศรษฐศาสตร์ชี้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอตัวแปรสำคัญฉุดเศรษฐกิจโลก "ศุภวุฒิ" คาดศก.สหรัฐฯ ปีหน้าอาจตำกว่า 1.5% ระบุเฟดลดดอกเบี้ยส่งผลให้เกิดปัญหาเงินเฟ้อทั่วโลก ด้าน "สมชาย" คาดส่งออกปีหน้าโตลดลงเหลือ 10-12% แนะเร่งกระตุ้นการลงทุนภาคเอกชนเพิ่ม พร้อมประสานเสียงให้คะแนนความน่าสนใจตลาดหุ้นเท่าปีก่อนแค่ 5 คะแนน ขณะที่ "ก้องเกียรติ" ฟันธงตลาดหุ้นจะผันผวนส่วน "มนตรี" ฝันเห็นดัชนี 1,000 จุดในปี 2-3 เดือนข้างหน้า

นายศุภวุฒิ สายเชื้อ กรรมการผู้จัดการ ประธานสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ ภัทร จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เศรษฐกิจสหรัฐในไตรมาส 4/50 อาจจะเติบโตในระดับที่ต่ำกว่า 1% ในขณะที่ปีหน้าคาดว่าจะเติบโตในระดับประมาณ 1.5% และมีโอกาสที่จะเติบโตต่ำกว่าระดับดังกล่าว โดยสถานการณ์ของระบบเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในตอนนี้เหมือนวิกฤตเศรษฐกิจที่เคยเกิดขึ้นกับประเทศไทยในปี 2540

ทั้งนี้ การเข้ามาแก้ปัญหาเพื่อบรรเทาความรุนแรงของปัญหาที่เกิดขึ้น ด้วยการลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจอาจจะเป็นการแก้ปัญหาภายในของสหรัฐฯ ในจากเรื่องดังกล่าวกับกลายเป็นการสร้างปัญหาเงินเฟ้อขึ้นให้กับเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะประเทศที่ผูกติดกับค่าเงินดอลลาร์ ไม่ว่าจะเป็นประเทศผู้ค้าน้ำมันที่กำหนดราคาน้ำมันเป็นดอลลาร์ รวมถึงราคาสินค้าและบริการต่างๆ ที่ผูกติดกับค่าเงินดอลลาร์ เนื่องจากค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงมาโดยตลอด และอาจจะอ่อนค่าได้อีกจากการแก้ปัญหาภายในประเทศของสหรัฐฯ

นอกจากนี้ เริ่มมีสัญญาณในการพยายามนำเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่องมาเปลี่ยนแปลงเป็นสินค้าอื่นมากขึ้น โดยหลายประเทศที่เก็บเงินดอลลาร์เพื่อเป็นทุนสำรองอย่างเป็นประเทศจีน หรือประเทศที่ได้รับเงินดอลลาร์เพื่อแลกเปลี่ยนสินค้าโดยเฉพาะประเทศในกลุ่มตะวันออกกลาง ได้มีการตั้งกองทุนเพื่อนำเงินในส่วนที่เกินความจำเป็นไปลงทุนในสินทรัพย์อื่นเพื่อไม่ให้ค่าของเงินดอลลาร์ที่ถือครองไว้ลดลงจากที่เป็นอยู่

นายศุภวุฒิ กล่าวอีกว่า การลงทุนในตลาดหุ้นในช่วงครึ่งปีแรกของปี 51 เชื่อว่ามีโอกาสที่ดัชนีจะปรับตัวเพิ่มขึ้นจากความชัดเจนในเรื่องการจัดตั้งรัฐบาล โดยนโยบายประชานิยมที่หลายพรรคการเมืองใช้ในการหาเสียงจะถูกนำมาใช้ซึ่งจะทำให้การลงทุนในภาคเอกชนเพื่อขึ้นตามไปด้วย แต่เมื่อเวลาผ่านไปซักระยะจะเริ่มมีคำถามตามมาถึงนโยบายต่างๆว่าจะมีการสานต่อหรือมีความเป็นไปได้มากเพียงใดในปีต่อๆไปซึ่งจะกลับกลายเป็นประเด็นที่เข้ามากดดันการลงทุนในตลาดหุ้น

ทั้งนี้ กลุ่มอุตสาหกรรมที่ถือว่าอาจจะมีความเสี่ยงที่น้อยกว่ากลุ่มอุตสาหกรรมอื่นๆในสถานการณ์ที่ปัจจัยนอกประเทศค่อนข้างมีอิทธิพลในการกำหนดทิศทางการลงทุน คือ กลุ่มที่ไม่อิงต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ รวมทั้งกลุ่มที่สามารถบริหารจัดการและไม่ผูกติดกับค่าเงินที่ผันผวนได้ เช่น กลุ่มธนาคารพาณิชย์ กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ และกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค เป็นต้น โดยให้คะแนนความน่าสนใจในตลาดหุ้นปีหน้าในระดับ 5 คะแนน

การเมืองฉุดเศรษฐกิจยาว

นายสมชาย ภคภาควิวัฒน์ ประธานกรรมการบริษัทหลักทรัพย์นครหลวงไทย จำกัด กล่าวว่า ความไม่แน่นอนทั้งในส่วนของเศรษฐกิจโลกที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพ (ซับไพรม์) รวมถึงความไม่แน่นอนต่อเศรษฐกิจของประเทศไทยน่าจะยังเกิดขึ้นอีกอย่างน้อย 6-7 เดือนข้างหน้า เนื่องจากนอกเหนือจากปัญหาซับไพรม์ที่ยังไม่จบแล้วยังมีปัญหาในเรื่องราคาน้ำมันที่ยังอยู่ในระดับที่สูง โดยนักวิเคราะห์หลายรายคาดการณ์ว่าราคาน้ำมันในตลาดโลกในปีหน้าจะเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 80 เหรียญต่อบาร์เรล ซึ่งหากราคาน้ำมันอยู่ในระดับสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ก็จะส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจทั่วโลก

ทั้งนี้ ภาคการส่งออกของประเทศไทยซึ่งถือว่าเป็นตัวช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในหน้าอัตราการเติบโตของการส่งออกอาจจะลดลงเหลือเพียง 10-12% จากปีนี้ที่เติบโตอยู่ในระดับ 14-15% โดยสิ่งที่จะรัฐบาลใหม่จะต้องเร่งดำเนินการเพิ่มเป็นการพยุงและช่วยสร้างสมดุลจากการส่งออกที่ลดลงคือ การเร่งการลงทุนทั้งภาครัฐและภาคเอกชน

"เศรษฐกิจในปีหน้าจะเป็นอย่างไรคงต้องดูที่ปัญหาเรื่องซับไพรม์ รวมทั้งราคาน้ำมันเป็นหลัก ขณะที่เรื่องการเมืองจะเป็นเรื่องที่มีปัญหาอย่างแน่นอนและจะเป็นปัจจัยที่กดดันการเติบโตของเศรษฐกิจไทย"นายสมชายกล่าว

สำหรับปัญหาทางการเมืองในประเทศ ส่วนตัวเชื่อว่าจะเป็นปัญหาต่อการเติบโตของเศรษฐกิจประเทศไทยไปอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากการจัดตั้งรัฐบาลจะต้องเป็นรัฐบาลผสมค่อนข้างแน่นอน และจากปัญหาดังกล่าวอาจจะนำไปสู่การปรับตัวเพิ่มขึ้นในอัตราที่ลดลงของเศรษฐกิจในอีกหลายปีข้างหน้า

ในส่วนของภาคการลงทุนในตลาดหุ้นเชื่อว่าผลจากสภาพคล่องในโลกที่ยังถือว่าอยู่ในระดับที่สูงมากจะทำให้เม็ดเงินจำนวนมากไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง โดยตลาดหุ้นอาจจะได้รับแรงหนุนเพิ่มเติบจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าทำให้เกิดผลกำไรได้ทั้งจากราคาหุ้นที่เพิ่มขึ้นและกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน โดยคาดว่าค่าเงินบาทในปีหน้าอาจจะมีโอกาสแข็งค่ามีอยู่ที่ระดับ 32 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ โดยให้คะแนนตลาดหุ้นไทยในปีหน้าที่ 5 คะแนน

จี้รัฐบาลใหม่เร่งลงทุน

นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในปีหน้าคาดว่าเศรษฐกิจโลกจะเติบโตในระดับ 4.8% บนสมมติฐานที่เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาจะต้องเติบโตในระดับที่ไม่ต่ำกว่า 1.9% ในขณะที่เศรษฐกิจไทยคาดว่าจะสามารถเติบโตได้ในระดับที่ใกล้เคียงกับปีนี้ แต่ก็มีโอกาสที่จะเติบโตได้มากกว่าปีนี้หากสถานการณ์ทางการเมืองหลังการเลือกตั้งมีความชัดเจน

ทั้งนี้ การเข้ามาบริหารประเทศของรัฐบาลการเร่งใช้นโยบายในเรื่องการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ถือว่าเป็นเรื่องที่จำเป็น เพื่อเป็นการส่งสัญญาณไปยังภาคเอกชนให้มีการลงทุนเพิ่มเพื่อรองรับกับโครงการต่างๆที่จะเกิดขึ้น ในขณะที่หากพิจารณาถึงกำลังการผลิตของภาคเอกชนไทยพบว่ากำลังการผลิตในปัจจุบันถือว่าอยู่ในระดับที่สูงจนต้องมีการเพิ่มกำลังการผลิตแล้วแต่ที่ผ่านมาสาเหตุที่ภาคเอกชนยังไม่ตัดสินใจเพิ่มกำลังการผลิตเนื่องจากยังไม่มีความมั่นใจต่อนโยบายและสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศ

"แม้ว่าค่าเงินบาทจะแข็งค่าอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา แต่หากภาคเอกชนมีศักยภาพในการบริหารจัดการเพื่อรองรับกับเรื่องดังกล่าวจนทำให้ไม่เกิดปัญหา รวมทั้งมีการเพิ่มศักยภาพในการแข็งขันก็จะสามารถทำให้ธุรกิจเดินต่อไป"นายก้องเกียรติกล่าว

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.เอเซีย พลัส กล่าวอีกว่า สำหรับภาคการลงทุนในตลาดหุ้นเชื่อปัจจัยบวกที่จะเข้ามาในตลาดทุนเรื่องสำคัญคือการเติบโตของอัตรากำไรสุทธิต่อหุ้นของบริษัทจดทะเบียนในปีหน้าคาดว่าจะเติบโตกว่าปีนี้ถึง 23% โดยกลุ่มธนาคารพาณิชย์อาจจะมีการเติบโตสูงถึง 180% เนื่องจากในปีนี้ได้มีการตั้งสำรองตามมาตรฐานบัญชีใหม่ในขณะที่ปีหน้าจะไม่ต้องทำการตั้งสำรองเพิ่มเติมก็จะส่งผลทำให้ผลการดำเนินงานเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด

ทั้งนี้ การเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นไทยในปีหน้าคาดว่าจะยังคงผันผวนต่อเนื่องจากปีนี้ เนื่องจากยังมีปัจจัยที่ยังเป็นปัจจัยกระทบการลงทุนหลายเรื่องที่อาจจะสร้างความวิตกกังวลให้กับนักลงทุนเมื่อใดก็ได้ โดยให้คะแนนความน่าสนใจในตลาดหุ้นปีหน้าในระดับ 7 คะแนนครึ่ง

นายมนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยไม่ค่อนเป็นตัวของตัวเองยังคงเคลื่อนไหวตามปัจจัยจากต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่ แต่ในปีหน้าจะเป็นปีที่มีปัจจัยบวกเข้ามากระตุ้นการลงทุนมากขึ้นไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์ทางการเมืองที่ดีขึ้น การบริโภคที่สูงขึ้น การลงทุนที่เพิ่มขึ้น อัตราการเติบโตของบริษัทจดทะเบียนที่เพิ่มขึ้นค่อนข้างมากจากปีนี้โดยคาดว่าจะเติบโตในระดับ 20-25% โดยคาดว่าในปีก 2-3 เดือนข้างหน้าดัชนีตลาดหุ้นไทยมีโอกาสแตะระดับ 1,000 จุดได้ทำให้ยังให้คะแนนความน่าสนใจในการลงทุนอยู่ในระดับ 7 คะแนน   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us