"การสำรวจบริษัทที่ก่อตั้งใหม่ช่วงระหว่างปี 2530-33 พบว่าบริษัทสยามเภตรา
เจมส์ อินเตอร์เนชั่นแนล ราชาเซรามิค สหมิตรโปลิโฟม ไทยเหลียนฉี เป็นบริษัทที่มีผลประกอบการดีที่สุด"
ในแต่ละปีจะมีผู้ประกอบการ จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลกับกรมทะเบียนการค้ากระทรวงพาณิชย์เฉลี่ยราว
15,000 ราย เพื่อดำเนินกิจกรรมทางธุรกิจโดยที่บางกิจการก็สามารถดำเนินธุรกิจประสบผลสำเร็จ
และขยายกิจการให้มีความมั่นคง
ส่วนบางกิจการดำเนินธุรกิจล้มเหลวจนไม่อาจที่จะดำเนินกิจการต่อไปได้ ต้องเลิกกิจการไป
ทั้งนี้ผลการดำเนินธุรกิจของกิจการทั้งหมดจะสะท้อนให้เห็นภาวะเศรษฐกิจของประเทศ
แต่ในที่นี้จะใช้กลุ่มตัวอย่างกิจการที่จดทะเบียนนิติบุคคลในเดือนตุลาคม
2530 จำนวน 1,211 รายโดยเลือกเฉพาะกิจการที่มีทุนจดทะเบียนมากกว่า 5.0 ล้านบาทและส่งข้อมูลปี
2533 ครบถ้วนจำนวน 46 รายมาทำการศึกษาเพื่อเป็นตัวแทนแสดงผลการดำเนินงานของกิจการในภาวะที่เศรษฐกิจมีความผันผวนค่อนข้างมากอย่างปี
2533 จากการเกิดเหตุการณ์ Gulf Crisis เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม ซึ่งก่อให้เกิดภาวะเศรษฐกิจชะงักงัน
(Stagnation) โดยมีผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจโดยตรงในส่วนของ Real Investment
Sector และมีผลกระทบอย่างมากในแง่จิตวิทยาในส่วนของ Portfolio Investment
Sector
โดยดูจากดัชนีตลาดหลักทรัพย์ที่ขึ้นไปสูงสุดถึง 1,143.8 จุด เมื่อวันที่
25 กรกฎาคม และลดลงมาอย่างต่อเนื่องจนถึงระดับ 544.3 จุด เมื่อวันที่ 30
พฤศจิกายนในปีเดียวกัน
ทั้งนี้ ตัวแทนทั้ง 46 รายมียอดสินทรัพย์รวมยอดส่วนของผู้ถือหุ้นรวม ยอดรายได้รวมจำนวน
6,282, 1,365 และ 8,338 ล้านบาทตามลำดับ
เราจะวิเคราะห์จากงบการเงินของกิจการกลุ่มนี้ เพื่อดูว่าในแต่ละประเภทธุรกิจมีการปรับตัวในปีดังกล่าวเป็นอย่างไรจากผลการดำเนินงานของกิจการกลุ่มนี้
สำหรับผลการดำเนินงานในส่วนของการวัดประสิทธิภาพจาก "NET PROFIT MARGIN"
(NPM) พบว่า กลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์มีจำนวนบริษัทที่เข้าเกณฑ์ถึง 83.3%
โดยมีค่า NPM อยู่ระหว่าง 2.1-5.9% ส่วนกลุ่มธุรกิจการค้ามีจำนวนบริษัทที่เข้าเกณฑ์รองลงมาคือ
60.0% โดยมีค่า NPM อยู่ระหว่าง 0.1-2.3%
ส่วนกลุ่มอุตสาหกรรมหนักมีจำนวนบริษัทที่เข้าเกณฑ์น้อยที่สุดคือ 22.2%
โดยมีค่า NPM อยู่ระหว่าง 1.4-3.2%
กรณีใช้เกณฑ์ "TOTAL ASSETSTURN OVER" พบว่า กลุ่มธุรกิจการค้ามีจำนวนบริษัทที่เข้าเกณฑ์มากที่สุดถึง
60.0% รองลงมาคือ กลุ่มอุตสาหกรรมเบาและกลุ่มพลาสติก & เคมีภัณฑ์ มีจำนวนบริษัทที่เข้าเกณฑ์เท่ากันคือ
50.0%
ส่วนกลุ่มที่มีจำนวนบริษัท ที่เข้าเกณฑ์น้อยที่สุดเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมหนักซึ่งมีเพียง
11.1% เท่านั้น
สำหรับคะแนนเฉลี่ยในส่วนของการวัดประสิทธิภาพจากเกณฑ์ทั้งสองข้างต้นพบว่า
กลุ่มที่มีคะแนนเฉลี่ยสูงสุดคือกลุ่มธุรกิจการค้า ซึ่งมีคะแนนเฉลี่ย 60.0%
รองลงมาคือกลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์มีคะแนนเฉลี่ย 58.3%
ส่วนกลุ่มที่มีคะแนนเฉลี่ยต่ำสุดยังคงเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมหนัก ซึ่งมีคะแนนเฉลี่ยเพียง
16.7% ทั้งนี้อาจจะเป็นเพราะว่าในช่วงระยะ 3 ปีแรกกลุ่มอุตสาหกรรมหนักมีภาระในส่วนของต้นทุนคงที่มากที่สุด
ในขณะที่กลุ่มธุรกิจการค้ามีภาระในส่วนนี้ค่อนข้างน้อย
โดยดูจากค่า TOTAL ASSRTS TURN OVER ของกลุ่มอุตสาหกรรมหนักจะมีค่าต่ำเมื่อเทียบกับกลุ่มธุรกิจการค้า
แต่ในระยะยาวค่าดังกล่าวของกลุ่มอุตสาหกรรมหนักน่าจะมีแนวโน้มสูงขึ้น
สำหรับผลการดำเนินงาน ในส่วนของการวัดเสถียรภาพของกิจการจาก "Current
Ratio" พบว่ากลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ทุกบริษัทมีค่า Current Ratio
เกิน 1 รองลงมาคือกลุ่มธุรกิจการค้ามีจำนวนบริษัทที่เข้าเกณฑ์จำนวน 75.0%
ส่วนกลุ่มอุตสาหกรรมหนักมีบริษัทที่มีค่า Current Ratio เกิน 1 เพียง 22.2%
กรณีใช้เกณฑ์ "Debt Ratio" พบว่ากลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์มีบริษัทที่เข้าเกณฑ์มากที่สุดถึง
80.0% รองลงมาคือกลุ่มธุรกิจการค้ามีบริษัทที่เข้าเกณฑ์จำนวน 40.0% ส่วนกลุ่มที่มีจำนวนบริษัทที่เข้าเกณฑ์น้อยที่สุดได้แก่กลุ่มธุรกิจบริการซึ่งมีเพียง
16.7%
สำหรับคะแนนเฉลี่ยในส่วนของการวัดเสถียรภาพจากเกณฑ์ Current Ratio และ
Debt Ratio พบว่า กลุ่มที่มีคะแนนเฉลี่ยสูงสุดคือกลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ซึ่งมีคะแนนเฉลี่ย
90.0% รองลงมาคือกลุ่มธุรกิจการค้าซึ่งมีคะแนนเฉลี่ย 57.5% และกลุ่มที่มีคะแนนเฉลี่ยน้อยที่สุดได้แก่กลุ่มอุตสาหกรรมหนักซึ่งมีคะแนนเฉลี่ยเพียง
22.2%
ซึ่งตามลักษณะโดยทั่วไปของธุรกิจแล้ว กลุ่มอุตสาหกรรมหนักต้องมีการลงทุนในสิ่งปลูกสร้างและเครื่องจักรมาก
ทำให้สัดส่วนในการก่อหนี้โดยเฉลี่ยจะมากกว่ากลุ่มอื่น
ในขณะที่ช่วงนั้นธุรกิจด้านพัมนาอสังหาริมทรัพย์ขยายตัวอย่างต่อเนื่องในช่วงปี
30-33 ส่งผลให้เสถียรภาพโครงสร้างทางการเงินของกลุ่มนี้มีคะแนนเฉลี่ยเข้าตามเกณฑ์ที่ตั้งไว้สูงสุด
กรณีที่เราพิจารณาเป็นรายกลุ่มธุรกิจเพื่อหาบริษัทที่มีผลการดำเนินงานดีที่สุดในแต่ละกลุ่ม
เราได้ตัวแทนของแต่ละกลุ่มธุรกิจดังนี้
"บริษัทหลักสี่วิลล่า จำกัด" เป็นบริษัทที่ถือว่ามีการดำเนินงานดีที่สุดในกลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์
แม้ว่าค่า Net Profit Margin จะต่ำกว่าบางบริษัทในกลุ่มเดียวกันแต่เมื่อพิจารณาถึงในส่วนของการใช้ประโยชน์จากสินทรัพย์ในการก่อให้เกิดรายได้
ทำให้จัดได้ว่ามีประสิทธิภาพสูงสุด
สำหรับกลุ่มธุรกิจการค้า บริษัทเจมส์อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด" เป็นบริษัทที่มีผลการดำเนินงานดีที่สุด
โดยค่า Ratios ต่างๆ ของบริษัทอยู่ในเกณฑ์ดี แม้ว่า Net Profit Margin จะไม่สูงนักแต่ก็ยังจัดว่าสูงที่สุดในกลุ่ม
กรณีของ "บริษัทราชาเซรามิค จำกัด" ซึ่งจัดเป็นบริษัทที่มีผลการดำเนินงานดีที่สุดในกลุ่มอุตสาหกรรมหนัก
แม้ว่าในส่วนของ Current Ratio จะค่อนข้างต่ำ อันอาจส่งผลในแง่สภาพคล่องของบริษัทได้
แต่ Debt Ratio ของบริษัทต่ำกว่า 0.5 จึงไม่น่าปีปัญหาด้านเสถียรภาพ แม้ว่าบริษัทมีการลงทุนในส่วนของโรงงานและเครื่องจักรสูง
แต่ก็สามารถทำยอดรายได้และ Net Profit Margin อยู่ในเกณฑ์ดี
สำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมเบา "บริษัทไทยเหลียนฉี เอนเตอร์ไพรส์ จำกัด"
เป็นบริษัทที่มีผลการดำเนินงานดีที่สุดในกลุ่ม ทั้งในด้านของความมีประสิทธิภาพและเสถียรภาพสำหรับกลุ่มธุรกิจการเกษตรบริษัทแป้งตะวันออก
(1987) จำกัด" เป็นบริษัทที่มีผลการดำเนินงานดีที่สุดในกลุ่มแม้ว่าจะมี
Debt Ratio สูงกว่า 0.5 แต่ในแง่ของ Current Ratio ก็อยู่ในเกณฑ์สูงกว่า
1
ในกลุ่มถัดไปคือกลุ่มธุรกิจบริการ "บริษัทสยามเภตรา อินเตอร์เนชั่นแนล
จำกัด" เป็นบริษัทในเครือกลุ่มโหวงฮกที่มีผลการดำเนินงานดีที่สุดในกลุ่ม
แม้ว่าค่า Debt Ratio จะสูงกว่า 0.5 แต่เมื่อเปรียบเทียบกับบริษัทอื่นในกลุ่มเดียวกันก็นับว่าอยู่ในเกณฑ์ต่ำ
สำหรับกลุ่มสุดท้ายคือกลุ่มพลาสติก & เคมีภัณฑ์ บริษัทที่มีผลการดำเนินงานดีที่สุดคือ
"บริษัทสหมิตรโปลิโปมจำกัด" โดยมีค่า Net Profit Margin สูงที่สุดในกลุ่มและค่า
Ratio อื่นๆ ก็อยู่ในเกณฑ์ดี