นับเนื่องยาวนานถึง 15 ปีเต็มๆ ที่ "พงส์ สารสิน" เป็น CHAIRMAN
ของเอ็กซ์คลูซีฟคลับอันเก่าแก่อายุนับ 90 ปีที่ชื่อ "สปอร์ตสคลับ (RBSC)"
โดยไม่มีผู้ใดเป็นคู่แข่งเลย ทั้งนี้เพราะบรรดาผู้ทรงคุณาวุฒิและวัยวุฒิต่างก็ให้เหตุผลว่า
ไม่อย่างหาเรื่องลำบากใส่ตัวฉะนั้นสมาชิกสปอร์ตคลับจึงมีลักษณะต่างคนต่างอยู่ทั้งๆ
ที่หงุดหงิดกับหลายเรื่องที่ต้องเจอ แต่ก็ไม่กล้ากระโดดลงมาเต็มตัว
ภาวะเช่นนี้ ทำให้ทุกปีบรรยากาศการเลือกตั้งกรรมการบริหารสปอร์ตสคลับนี้อยู่ในสภาพวังเวง
ล่าสุดเมื่อวันเลือกตั้งที่ 27 ตุลาคมที่ผ่านมา มีผู้เข้าร่วมประชุมไม่ถึง
300 คนหรือเพียงแค่ 5% ของสมาชิกสามัญที่โหวตเสียงได้ทั้งหมด 6,221 คน ทั้งนี้ไม่รวมสมาชิกโปโลคลับอีก
1,997 คน
ระหว่างการประชุม ปรากฎว่ามีปัญหาสถานที่ประชุมที่ห้องแบดมินตัน เนื่องจากมีลักษณะเสียงก้องมาก
สลับกับเสียงพูดคุยโห่ฮาด้านหลังห้องขณะที่มีการอภิปรายมติอยู่ถึงกับท่านพงส์ต้องขอร้องให้ทุกคนเงียบเสียงลงบ้าง
"ข้อบกพร่องเล็กๆ น้อยๆ นี้น่าจะแก้ไขได้ด้วยการจัดประชุมที่โรงแรมหรือศูนย์สิริกิติ์ซึ่งให้ภาพพจน์ที่ดี
และเป็นแรงจูงใจสมาชิกสโมสรมาร่วมในการประชุมใหญ่นี้ด้วย" สมาชิกสโมสรท่านเสนอความเห็น
ในที่สุด ผลการประชุมก็ปรากฎออกมาว่าเป็นไปตามโผคือกรรมการชุดเดิมทั้งหมดเข้าบริหารสปอร์ตสคลับ
โดยมีพงส์ สารสินเป็น CHAIRMAN ต่อเนื่องขึ้นสู่ปีที่ 16 นับว่าเป็น CHAIRMAN
คนไทยที่นั่งเก้าอี้ที่นี่นานมากๆ
"ผมได้เสนอหลักการสองข้อที่จะให้คณะกรรมการบริหารชุดนี้พิจารณาก็คือ
ควรหรือไม่ที่จะกำหนด MAXIMUM OF TERM ของการบริหารสปอร์ตสคลับตามสากลโลกคืออยู่ระหว่าง
4 หรือ 8 ปี และควรหรือไม่ที่จะจัดสัดส่วนจำนวนเก้าอี้กรรมการให้สัมพันธ์กับจำนวนสมาชิกคนไทยในปัจจุบัน"
นี่คือความตั้งใจอันแน่วแน่ของพลเอกเฟื่องเฉลย อนิรุทธเทวา สมาชิกเก่าแก่ผู้หนึ่งซึ่งยืนยันเรื่องนี้ในการประชุมใหญ่ทุกปี
ปัจจุบัน เก้าอี้กรรมการคนไทยจะมีอยู่เพียง 4 คนได้แก่คนเก่าพงส์ สารสิน
ประทีป จิรกิติ วิชิต จารุสรณ์ พ.ต.อ.วิรัช วาณิชกะและกรรมการชาวต่างประเทศเป็น
8 คน ขณะที่สัดส่วนสมาชิกสามัญคนไทย 5,391 คนและชาวต่างประเทศ 830 คนหรือประมาณ
15% ของคนไทยเท่านั้นเอง
กิจกรรมที่คณะกรรมการบริหารสปอร์ตสคลับทำเป็นเรื่องเก่าๆ โดยเฉพาะด้านสังคมและบันเทิงซึ่งทำเป็นประเพณีคืองานเทศกาลอ็อก
โทเบอร์เฟสท์ วันลอยกระทง งานฉลองคริสต์มาสสำหรับเด็กๆ งานวันสงกรานต์และการจัดแสดงคอนเสิร์ต
ขณะที่กิจกรรมประเภท HORSE FAIR ที่สมาชิกเก่าแก่อย่างพลเอก เฟื่องเฉลย
อนิรุทธเทวา ได้เสนอให้คณะกรรมการบริหารจัดแสดงขึ้นบ้าง โดยอ้างถึงวัตถุประสงค์ข้อหนึ่งใน
"รอยัลชาร์เตอร์" ของสปอร์ตสคลับที่กรรมการบริหารยังไม่ได้ทำก็คือ"
งานบำรุงผสมพันธุ์ม้า และจัดการ แสดงม้าประกวด" ขณะที่เมื่อเร็วๆ นี้กลุ่มจุลดิศประสบความสำเร็จจากการจัดงานประชันโฉมม้าและแสดงความสามารถของม้านานาพันธุ์กว่า
200 ตัวที่ฟาร์มม้าเขาใหญ่ พาร์ค สตัด
เป็นไปได้หรือไม่ว่า? HORSE FAIR อาจจะไม่มีแรงจูงใจมากเท่า HORSE RACE
เพราะรายได้ที่คณะกรรมการบริหารพอใจมากๆ ในแต่ละปีมีแต่เพิ่มพูนขึ้นโดยในงบดุลปี
2534 ซึ่งสิ้นสุดในเดือนกรกฎาคม 2535 พงส์ได้กล่าวว่า
"การดำเนินงานของสโมสรฯ โดยทั่วไปเป็นที่น่าพอใจในด้านการจัดแข่งม้า
ถึงแม้ว่ายอดขายตั๋วในปีที่แล้ว ซึ่งมีจำนวนเงิน 2,051 ล้านบาทจะต่ำกว่ายอดของปีที่ผ่านมา
ซึ่งมีจำนวนเงิน 2,083 ล้านบาทรายได้สุทธิเป็นเงิน 28.9 ล้านบาทซึ่งสูงกว่าปีก่อนเล็กน้อย"
นี่คือผลประโยชน์ก้อนมหาศาลของสนามม้าฝรั่งซึ่งเป็นรายได้หลักของสปอร์ตสคลับที่พงส์
สารสินดูแลอยู่
นโยบายบริหารรายได้เข้าสปอร์ตสคลับในยุคพงส ์และพวกที่มุ่งสร้างอัตราเติบโตนับว่าเป็นผลสำเร็จ
โดยกำไรสุทธิล่าสุดก็เพิ่มจากปีที่แล้วประมาณ 10 ล้านบาท ทั้งนี้เป็นผลมาจากการเพิ่มค่าบำรุงสมาชิกรายเดือนและการเพิ่มของอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก
ปัจจุบัน สมาชิกใหม่ซึ่งแต่ละปีจะรับเพียง 300 คนจะจ่ายค่าสมาชิกแรกเข้า
80,000 บาท ซึ่งเพิ่ม 100% จากเดิมที่เคยจ่ายเพียง 40,000 บาทและล่าสุดได้มีการเก็บ
ENTRANCE FEE จากสุภาพสตรีโสดเป็น 50,000 บาทโดยที่ผู้หญิงไม่มีสิทธิโหวดเสียง
(NON VOTING) หรือเข้าร่วมประชุมได้เลยปัจจุบันนี้มีสุภาพสตรีที่ได้เพียงสิทธิ์ใช้สโมสรถึง
1,806 คนหรือประมาณ 30% ของสมาชิกสามัญ
"โดยหลักการผมเห็นด้วยกับเสธเฟื่องที่ได้เสนอว่าสิทธิเสมอภาคสำหรับสุภาพสตรีควรจะเกิดขึ้นใน
พ.ศ. นี้เพื่อความเป็นธรรมและเฉลิมฉลองเนื่องในวาระศุภมงคลครบ 5 รอบพระบรมราชินีนาถ
แต่มตินี้ก็ไม่ได้รับการตอบสนองจากกรรมการซึ่งอ้างว่าไม่มีในวาระการประชุม"
ศ.นิคม จันทรวิทูร สมาชิกอาวุโสกล่าว
อย่างไรก็ตาม อัตราค่า ENTRANCE FEE ที่สปอร์ตสคลับเก็บจากสมาชิกใหม่ยังถือว่าต่ำมากเมื่อเทียบเชิงพาณิชย์กับสโมสรอื่นๆ
ทั้งนี้เพราะที่อื่นจะต้องทุ่มทุนมหาศาลในการซื้อ และพัฒนาที่ดินแปลงใหญ่แต่สปอร์ตสคลับไม่มีต้นทุนดังกล่าวทั้งนี้เพราะได้ถือกำเนิดขึ้นมาได้ด้วยพระบารมีปกเกล้าฯ
ในรัชกาลที่ห้า ซึ่งมีพระราชประสงค์ที่จะให้สโมสรแห่งนี้ได้กลายเป็นที่ชุมนุมพบปะ
ระหว่างชาวต่างประเทศกับชาวไทยและบำรุงผสมพันธุ์ม้าให้เจริญยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตามความพยายามผลักดันนโยบายการบริหารรายได้เข้าสปอร์ตสคลับในอดีตที่
A.F.EBERHAROT สมาชิกคนหนึ่งที่เสนอให้ขายสิทธิสมาชิก ได้ 4.5 ล้านบาทโดยหัก
30% เข้าเป็นรายได้สโมสรแต่ต้องพ่ายแพ้ต่อเสียงคัดค้านในที่ประชุม 2 ปีที่แล้วอาจเป็นไปได้หรือไม่ว่า
จะนำมาปรุงแต่งใหม่เพื่อยื่นเสนอเป็นมติในที่ประชุมครั้งหน้า
บนความขัดแย้งระหว่างการบริหารรายได้กับการดำรงอยู่ในฐานะสโมสรอันทรงเกียรติมิใช่สโมสรทางการค้า
พงส์และกรรมการบริหารสปอร์ตสคลับชุดนี้อาจจะต้องมีฝีมือการจัดการที่ทันสมัย
และตอบสนองต่อความต้องการอันหลากหลายของสมาชิกได้อย่างแท้จริง แทนที่จะปล่อยให้ความเสื่อมโทรมมาเกาะกุมสโมสรเช่นทุกวันนี้