เอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ฯดึงทุนต่างประเทศผ่านการบริหารของกลุ่มแปซิฟิค สตาร์ฯ ร่วมทุนจัดตั้งบริษัทใหม่ลุยโครงการอสังหาฯ เบื้องต้น 2 โครงการที่ร่วมทุนคอนโดมิเนียมโซนสาทร และรัชดาภิเษกติดสถานีรถไฟใต้ดิน( MRT) ส่วนคอนโดฯสุขุมวิทค่ายเอพีลงทุน 100% ระบุเป็นการเพิ่มโอกาสขยายการลงทุนในอนาคต จับตาแปซิฟิคฯดึงเงินกองทุนฯจากนอก เพิ่มพอร์ตโครงการอสังหาฯในมือ
นายภูมิพัฒน์ สินาเจริญ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการบริษัท เอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ AP แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ครั้งที่ 15/2552 เมื่อวันที่ 27 พ.ย.ที่ผ่านมา ได้มีมติให้จัดตั้งบริษัทใหม่จำนวน 3 บริษัท ได้แก่ บริษัท เอพี แปซิฟิค สตาร์(สาทร) จำกัด และบริษัท เอพี แปซิฟิค สตาร์(รัชดา) ซึ่งทั้งสองบริษัท ทางAP จะมีสัดส่วนการลงทุนบริษัทละ 51% และบริษัทเออาร์อีพีดีเอฟ เอเวอร์กรีน สาทรถือหุ้นบริษัทละ 49% ทุนชำระเริ่มบริษัทละ 10 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้ 10 บาท โดยใช้เงินทุนหมุนเวียนของบริษัท มูลค่าลงทุน 5.1 ล้านบาท ซึ่งทั้งสองบริษัท ทางAP ไม่มีความสัมพันธ์กับผู้ร่วมทุน
สำหรับบริษัท เอพี แปซิฟิค สตาร์ (สุขุมวิท) ในขณะนี้ AP ถือหุ้น 100% ทุนชำระแล้วเริ่มแรก 10 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้ 10 บาท ใช้เงินทุนหมุนเวียนของบริษัท มูลค่าเงินลงทุน 10 ล้านบาท อนึ่ง บริษัทดังกล่าว อยู่ระหว่างการจัดหาที่ดินพัฒนาโครงการ
ทั้งนี้ การทำรายการดังกล่าวข้างต้น เพื่อดำเนินธุรกิจโครงการคอนโดมิเนียมที่ สาทร ซอย 12 และรัชดาภิเษกติดสถานีรถไฟใต้ดิน (MRT) รัชดาภิเษก โดยปัจจุบันผู้ร่วมทุนคือ เออาร์อีพีดีเอฟ เอเวอร์กรีน สาทร และ เออาร์อีพีดีเอฟ เอเวอร์กรีน รัชดาภิเษก บริหารโดยกลุ่ม แปซิฟิค สตาร์ ซึ่งมีชื่อเสียงในเรื่องการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในเอเชีย ดังนั้น บริษัทAPจึงเห็นว่าการร่วมทุนในครั้งนี้ จะทำให้บริษัทเพิ่มโอกาสทางธุรกิจและพัฒนาโครงการที่หลากหลายมากขึ้น
โดยมูลค่าของหุ้นสามัญที่บริษัทได้มาจากการจัดตั้งบริษัทย่อย 3 บริษัทข้างต้นคิดเป็นมูลค่า 20.2 ล้านบาท ถือเป็นการได้มาซึ่งสินทรัพย์ของบริษัทจดทะเบียนโดยมีขนาดของรายการน้อยกว่า15 % ดังนั้นบริษัทจึงไม่ต้องเปิดเผยสารสนเทศต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ
อนึ่ง ในส่วนของบริษัท แปซิฟิค สตาร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด เป็น1ใน 4 บริษัทในขณะนี้ ที่ถูกจัดตั้งขึ้นมาในภูมิภาคเอเชียในช่วงต้นปี 2549 โดยมีสำนักงานแรกอยู่ที่ประเทศสิงคโปร์ ซึ่งกลุ่มบริษัทแปซิฟิคฯมีความชำนาญในด้านการลงทุนทางด้านอสังหาริมทรัพย์ การจัดสรรเงินทุน การบริหารสินทรัพย์ และบริการการจัดการอสังหาฯในเอเชีย โดยทำตลาดด้านการลงทุนอสังหาฯเป็นหลัก ซึ่งในช่วง 6-7 ปีที่ผ่านมา กลุ่มบริษัทฯมีมูลค่าธุรกรรมผ่านในมือประมาณ 2,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 70,000-80,000 ล้านบาท เช่น Wisma Atria and Ngee Ann City to Macquarie MEAG Prime REIT รูปแบบห้างสรรพสินค้าในประเทศสิงคโปร์ ในเดือนก.ย.2548 ที่สามารถทำกำไรได้ถึง 29%
โดยรูปแบบการเข้ามาลงทุนโครงการอสังหาฯในไทยนั้น จะมีการร่วมทุนกับผู้ประกอบการในไทยและการเข้าซื้ออาคารมาปรับปรุงเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม ซึ่งที่ผ่านมาได้ลงทุนซื้ออาคารไปแล้ว 2 อาคาร รวมมูลค่าประมาณ 5,000 ล้านบาท เช่น โครงการย่านทองหล่อ ซึ่งเดิมคือ ตึกอาร์เอส ทองหล่อ (ซื้อต่อมาจากบริษัท เอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ฯ) ใช้เงินลงทุนกว่า 3,000 ล้านบาท ซึ่งจะเปิดตัวประมาณปลายปี 50 และ โครงการ สาธรการ์เด้นส์ เป็นคอนโดฯประมาณ 350 ยูนิต หรือประมาณ 3.2 หมื่นตารางเมตร ราคาเริ่มต้นประมาณ 87,000 บาทต่อตร.ม. (เดิมเป็นของบริษัท สาธร เรีย จำกัด) ใช้เงินลงทุนทั้งสิ้น 2,100 ล้านบาท ขณะนี้ได้เปิดขายเฟสแรก 159 ยูนิต ประมาณ 20,000 ตร.ม. มูลค่า 2,000 ล้านบาท ทั้งนี้หากขายได้หมดโครงการ สาธร การ์เด้นส์ มีมูลค่าโครงการรวม 3,000 ล้านบาท
ทั้ง 2 โครงการ ลงทุนผ่านกองทุน ดิ เอเชีย เรียลเอสเตท อินคัม ฟันด์ (The Asia Real Estate Income Fund :AREIF) ซึ่งแปซิฟิก สตาร์ ระดมทุนจากทั่วโลก เน้นการลงทุนในธุรกิจอสังหาฯที่สร้างรายได้กลับคืนเร็ว มูลค่ากองทุน 500 ล้านยูโร หรือกว่า 20,000 ล้านบาท ปัจจุบันใช้เงินลงทุนไปแล้ว 50% โดยประเทศไทยเป็นหนึ่งในนั้น และเงินอีกส่วนหนึ่งจะมาจากเงินกู้ยืมจากธนาคารพาณิชย์ในประเทศไทยด้วย นอกจากนี้ยังมียังมีกองทุน The Baitak Asia Real Estate Fund มีคูเวตไฟแนนซ์ ของรัฐบาลคูเวต ร่วมลงทุนด้วยมูลค่ากองทุน 600 ล้านดอลลาร์หรือ เกือบ 20,000 ล้านบาท โดยกองทุนนี้จะเน้นลงทุนในลักษณะเป็นผู้พัฒนาที่ดินเพื่อสร้างกำไรจากขายเป็นหลัก
นอกจากนี้ ทางบริษัทยังมีแผนที่จะเจรจาซื้อโครงการอสังหาฯทั้งประเภทที่อยู่อาศัย อาคารสำนักงาน และศูนย์การค้าในเมืองไทยเพิ่มอีก 2-3 โครงการรวมมูลค่ากว่า 3,000 ล้านบาท และขณะนี้ได้ส่งรายละเอียดไปให้บริษัทแม่ที่สิงคโปร์พิจารณาก่อนสรุป ทั้งนี้แต่ละโครงการที่ตัดสินใจซื้อต้องมีมูลค่าไม่น้อยกว่า 1,000 ล้านบาท และให้ผลตอบแทนการลงทุนไม่น้อยกว่า 10%
|