Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน29 พฤศจิกายน 2550
เอกชนโอดปี’51 ปัญหาอื้อ 'บาท-น้ำมัน'ตัวแปรฉุด ศก. รัฐส่งซิกเลิกใช้กองทุนฯอุ้ม             
 


   
search resources

Economics




เอกชนชี้ปี’51 แนวโน้มสินค้ายังอาจขยับอีก โอดตลาดในประเทศซบหนักจี้รัฐบาลใหม่แก้ด่วน ขณะที่ปีหน้าน้ำมัน - ซับไพรม์ บาทแข็ง เศรษฐกิจโลกปัจจัยรุมเร้าเพียบรัฐบาลใหม่ต้องทำงานหนัก มองบาทอยู่ที่ 33 บาท/เหรียญสหรัฐ “ปิยสวัสดิ์” ส่งสัญญาณไม่อุ้มน้ำมันอีกหลังลดเงินกองทุนฯล่าสุด 20 สตางค์ต่อลิตรรวมแล้ว 80 สตางค์ต่อลิตรกระทบฐานะการเงินกองทุนฯหวังสางหนี้เก่าให้หมดสิ้นปีนี้ ผู้ค้าน้ำมันเมินราคาน้ำมันตลาดโลกลดติดๆ กัน ล่าสุดร่วงลงอีก 3 เหรียญยังเฉยไม่ลดให้ผู้บริโภค ขณะที่น้ำมันแพงคนซบเอ็นจีวี ปตท.ขอโทษเอ็นจีวีอาจไม่พอกับความต้องการเร่งสร้างปั๊มแล้วอีก 6 เดือนหมดปัญหา

นายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) กล่าวหลังการประชุมเชิงปฏิบัติการ”แนวทางการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ของภาคอุตสาหกรรม” ว่า ปี 2551 หากระดับราคาน้ำมันยังคงทรงตัวระดับสูงจะมีส่วนสำคัญต่อการผลักดันให้ราคาสินค้ายังมีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นอีกเนื่องจากบางรายยังพยายามตรึงราคาไว้ ซึ่งผู้ผลิตที่ปรับราคาทุกรายหากไม่จำเป็นคงไม่ปรับขึ้นราคาสินค้าเพราะแรงซื้อขณะนี้ค่อนข้างต่ำมากแต่ด้วยไม่สามารถแบกรับภาระได้ไหว

ทั้งนี้สิ่งที่น่าห่วงคือเมื่อราคาสินค้าแพง ราคาน้ำมันยังสูงหากประชาชนไม่จับจ่ายใช้สอยก็อาจกระทบต่อสินค้าจำหน่ายในประเทศได้ต่อเนื่องจากปีนี้ที่แรงซื้อก็ลดต่ำลงแล้ว ซึ่งจากการไปสำรวจธุรกิจต่างจังหวัดพบว่าตลาดซบเซาค่อนข้างมาก ดังนั้นรัฐบาลใหม่จำเป็นที่จะต้องสร้างความเชื่อมั่นกับประชาชนและนักลงทุนเร่งด่วนเป็นงานแรกเพราะเป็นสิ่งเดียวที่จะแก้ไขปัญหาการจับจ่ายใช้สอยของประชาชนให้กลับมาได้เช่นเดิม รวมถึงการลงทุนจากเอกชน

บาทแข็งรายได้หายไป 7 แสนล้าน

นายสมมาตร ขุนเศรษฐ รองเลขาธิการส.อ.ท. กล่าวว่า ค่าแรงงานที่ปรับขึ้นไม่ได้มีผลกระทบต่อต้นทุนของภาคอุตสาหกรรมมากแต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงมากกว่าคือปัญหาน้ำมันแพงและแนวโน้มค่าเงินบาทที่เริ่มแข็งค่าอีกครั้งหนึ่งซึ่งยังคงต้องติดตามใกล้ชิดเนื่องจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าจากต้นปีที่อยู่ระดับ 39 บาทต่อเหรียญสหรัฐมาอยุ่ที่ 34 บาทต่อเหรียญสหรัฐทำให้รายได้จากการส่งออกหายไปพอสมควรประมาณ 7 แสนล้านบาทต่อปีจากปีหนึ่งที่เฉลี่ยส่งออก 1.4 แสนล้านเหรียญสหรัฐ

โยกเงิน 5 พันล.ให้เอสเอ็มอีแบงก์

นายสมมาตรกล่าวว่า ขณะนี้สมาคมธนาคารไทยได้ยื่นหนังสือถึงธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ที่จะให้โอนเงินจากกองทุนช่วยเหลือวิสาหกิจขนาดกลางและย่อมที่เป็นผู้ส่งออกที่ได้รับผลกระทบจากบาทแข็งวงเงิน 5,000 ล้านบาทในส่วนของวงเงินธปท.ประมาณ 2,700 ล้านบาทกรณีที่ธ.ค.นี้ไม่สามารถปล่อยกู้หมดให้กับธนาคารเพื่อการพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและย่อมหรือเอสเอ็มอีแบงก์ไปบริหารแทนเนื่องจากล่าสุดมีการปล่อยกู้เพียง 500 ล้านบาทและคาดว่าคงจะปล่อยไม่ได้มากไปกว่านี้เนื่องจากติดหลักเกณฑ์การสำรองหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้หรือ

โลกเปลี่ยนไปต้องปรับบทบาทใหม่

นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล รองประธานส.อ.ท.กล่าวว่า จากการหารือ 39 กลุ่มอุตสาหกรรมพบว่า ปัจจุบันมีองค์ประกอบการทำธุรกิจที่มีความผันผวนและเปลี่ยนแปลงไปมากทั้งราคาน้ำมัน กฏระเบียบการค้า ดังนั้นภาคอุตสาหกรรมจำเป็นจะต้องปรับตัวเองเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงโดยต้องปรับแนวคิดใหม่ในการมองยุทธศาสตร์การเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าที่จะต้องให้ความสำคัญกับนโยบายการค้าเสรี นวตกรรมด้านวิจัยและพัฒนา การใช้ไอที เป็นต้น ซึ่งแต่ละกลุ่มจะนำผลการเวิร์คช้อปครั้งนี้ไปจัดทำยุทธศาสตร์หรือ Road Mapของแต่ละกลุ่มอีกครั้งหนึ่ง

“ จากการหารือเราต้องปรับบทบาทส.อ.ท.ใหม่ที่จะมีการจัดตั้งสถาบันอุตสาหกรรมขนาดกลางและย่อมหรือ SMI เพื่อดูแลและประสานสมาชิกของกลุ่มที่มีถึง 6,000 รายหรือคิดเป็น 85% ของสมาชิกทั้งหมดที่จะอยู่ภายใต้ส.อ.ท.คาดว่าต้นปีหน้าเราคงจะดำเนินการได้ทั้งนี้ก็เพื่อสร้าง SMEs ให้เข้มแข็ง”นายพยุงศักดิ์กล่าว

มองบาทปีหน้าอยู่ 33 บ.

นายธนิต โสรัตน์ รองเลขาธิการสายงานเศรษฐกิจ ส.อ.ท.กล่าวหลังการสัมมนาเชิงปฎิบัติการเรื่อง “เศรษฐกิจหลังเลือกตั้งจะรุ่งโรจน์หรือร่วงโรย” ว่า พรรคการเมืองหลังการเลือกตั้งคงจะเป็นรัฐบาลผสมแน่นอนและการเมืองก็ยังวุ่นวายต่อไป ดังนั้นมองว่ารัฐบาลใหม่ต้องเร่งสร้างความเชื่อมั่นคืนมาให้ได้ ขณะที่ปัจจัยเสี่ยงต่อเศรษฐกิจไทยในปีหน้าคือ ปัญหาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพ(ซับไพร์ม)ในสหรัฐอเมริกาที่ยังไม่จบ ค่าเงินบาทแข็งที่คาดว่าปีหน้าจะอยู่ระดับ 33 33 บาทต่อเหรียญสหรัฐ และราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง โดยคาดว่าปีหน้าราคาน้ำมันเฉลี่ยจะอยู่ที่ระดับ 85 เหรียญต่อบาร์เรล

“ ดีเซลที่เป็นต้นทุนสำคัญของระบบขนส่ง ซึ่งหากภาครัฐปล่อยให้ราคาน้ำมันดีเซลสูงถึงระดับ 32 บาทต่อลิตร ก็คงจะส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการจำนวนมากโดยเฉพาะผู้ประกอบการเอสเอ็มอี”นายธนิต กล่าว

ปีหน้าปัจจัยรุมเร้าอื้อ

นายบันลือศักดิ์ ปุสสะรังษี ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินและธนาคาร ธนาคารกรุงเทพ กล่าวว่า ปัญหาเศรษฐกิจโลกที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด คือ ปัญหาซับไพร์มของสหรัฐ ประกอบกับมีการคาดการณ์ว่าจีนจะเกิดปัญหาฟองสบู่แตกหลังกีฬาโอลิมปิก ดังนั้น รัฐบาลใหม่จะต้องทำงานหนักและพึ่งการส่งออกยาก เพราะมีหลายปัจจัยในต่างประเทศ ซึ่งจะใช้นโยบายการเงินกระตุ้นคงไม่ได้ รวมถึงนโยบายการคลังก็มีปัญหา เพราะรัฐบาลไม่มีงบประมาณเพียงพอ ปัญหาน้ำมัน ปัญหาความไม่สงบในไนจีเรีย อิหร่านและสหรัฐ เป็นสิ่งที่ต้องจับตามองในปีหน้า

นายพายัพ พยอมยนต์ อดีตรองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช. )กล่าวว่า เศรษฐกิจปีหน้าจะทรงตัว แต่จะดีกว่าปีนี้เล็กน้อย ขณะที่ ราคาน้ำมันเชื่อว่าในที่สุดกลุ่มโอเปกจะต้องเพิ่มกำลังการผลิต ไม่เช่นนั้นหลายประเทศจะหันไปใช้พลังงานทดแทน ซึ่งจะไม่เป็นผลดีต่อกลุ่มโอเปก และในปีหน้าราคาน้ำมันน่าจะอยู่ระดับ 80-85 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ค่าเงินบาทโดยรวมจะอยู่ระดับ 33 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ แต่สิ่งที่รัฐบาลใหม่ต้องเร่งดำเนินการคือ การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยและสร้างระบบพื้นฐาน เพื่อลดต้นทุนโดยเฉพาะระบบโลจิสติกส์

รัฐเลิกใช้กองทุนอุ้มน้ำมัน

นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า หลังจากลดเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในส่วนดีเซลและไบโอดีเซลลงอีก 20 สต./ลิตรมีผลวานนี้(28พ.ย.) แล้วนั้นกระทรวงพลังงานไม่มีนโยบายที่จะลดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯลงอีกเพื่อชะลอการปรับราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศเพิ่มเติมเนื่องจากกองทุนฯยังมีภาระหนี้สินอีก 2,300 กว่าล้านบาทที่จำเป็นต้องเร่งชำระหนี้ให้หมดภายในสิ้นปีนี้เป็นอย่างช้าซึ่งหากลดลงอีกจะกระทบต่อแผนการชำระหนี้ได้

ทั้งนี้การปรับลดอัตราการจัดเก็บเงินนำเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงล่าสุด 20 สตางค์ต่อลิตรถือเป็นการปรับลดเงินเข้ากองทุนส่วนของดีเซลรอบที่ 3 รวมลดเงินเข้ากองทุนฯส่วนดีเซลทั้งสิ้น 80 สตางค์ต่อลิตร ปัจจุบันกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมีเงินสุทธิจำนวน 13,201 ล้านบาท และมีหนี้สินค้างชำระ 15,594 ล้านบาท แบ่งเป็นหนี้พันธบัตร 8,800 ล้านบาท จ่ายชำระหนี้ชดเชยตรึงราคาน้ำมัน 990 ล้านบาท ชำระหนี้ชดเชยราคาก๊าซหุงต้มจำนวน 5,288 ล้านบาท จ่ายชดเชยภาระดอกเบี้ยพันธบัตรอายุ 3 ปี จำนวน 516 ล้านบาท ปัจจุบันกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมีภาระหนี้สินอยู่ประมาณ 2,393 ล้านบาท

ตลาดโลกวูบผู้ค้าชะลอปรับราคา

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าล่าสุด ราคาน้ำมันในตลาดโลกเริ่มอ่อนตัวลงเช่นเดียวกับตลาดสิงคโปร์ที่ เบนซิน 95 ลดลง 1.46 ปรับมาอยู่ที่ 102.77 ดอลลาร์/บาร์เรล ดีเซลลดลง 1.67 ดอลลาร์ มาอยู่ที่ 109.45 ดอลลาร์/บาร์เรลเนื่องจากความกังวลเศรษฐกิจสหรัฐจะชะลอตัวลงจากปัญหาสินเชื่อภาคอสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพหรือซับไพร์มส่งผลให้ความต้องการใช้น้ำมันในอนาคตอาจปรับลดลงได้ รวมถึงคาดการณ์ว่าการประชุมโอเปก 5 ธ.ค.จะมีการเพิ่มการผลิต ส่งผลให้ผู้ค้าน้ำมันในประเทศยังไม่ตัดสินใจปรับขึ้นราคาขายปลีกน้ำมัน

แหล่งข่าวจากวงการน้ำมันระบุว่า แม้ว่าตลาดโลกจะลดลงแต่ก่อนหน้าได้ปรับขึ้นมา 5-6 เหรียญต่อบาร์เรลแต่ลดลงไปเฉลี่ย 2-3 เหรียญต่อบาร์เรลเท่านั้นดังนั้นจึงจำเป็นจะต้องติดตามน้ำมันตลาดโลกอย่างใกล้ชิดหากลงแรงต่อเนื่องอีก 1-2 วันโอกาสไม่ปรับลดก็เป็นไปได้แต่ถ้ายังทรงตัวระดับสูงสุดสัปดาห์ผู้ค้าก็อาจจะต้องปรับขึ้นอีกครั้ง

คนแห่เติมเอ็นจีวี 6 เดือนนี้อาจไม่พอ

นายณัฐชาติ จารุจินดา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ บมจ.ปตท. กล่าวว่า ช่วง 6 เดือนนี้ หรือจนถึงเดือนมิถุนายน 2551 ปริมาณเอ็นจีวีอาจจะยังไม่เพียงพอสำหรับความต้องการใช้ของยานยนต์ที่มีความต้องการสูงมากเฉพาะเดือนพ.ย.เดือนเดียวมียอดเปลี่ยนมาใช้เอ็นจีวีเพิ่มถึง 5,000 คันสาเหตุหลักจากน้ำมันดีเซลที่สูงขึ้นทะลุ 100 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลประกอบกับสิ้นปีนี้จะหมดโปรโมชั่นการติดตั้งอุปกรณ์ให้ฟรีดังนั้นปตท.กำลังพิจารณาว่าจะมีการหยุดต่ออายุโปรโมชั่นชั่วคราวหรือไม่จนกว่าจะสร้างรถบบสาธารณูปโภครองรับได้

“รถยนต์ที่เปลี่ยนมาใช้เอ็นจีวีขยายขึ้นเท่าตัวจาก 25,000 คันเป็น 51,000 คัน และขยายตัวสูงสุดในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ส่งผลให้ความต้องการใช้เอ็นจีวีในเขตกรุงเทพฯ-ปริมณฑล เพิ่มขึ้นรวดเร็วเป็น 700-800 ตัน/วัน ขณะที่ ปตท.จัดส่งก๊าซฯได้เพียง 650 ตัน/วัน ใน 6 เดือนข้างหน้าจะมีสถานีบริการมากกว่า 200 แห่งน่าจะแก้ไขปัญหาได้”นายณัฐชาติกล่าว

น้ำมันโลกดิ่งลงกว่า 3 ดอลลาร์

ราคาน้ำมันในตลาดโลกดำดิ่งลงมากกว่า 3 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล สืบเนื่องจากความคาดหมายที่ว่าโอเปกจะเพิ่มซัปพลายมากขึ้นอีก รวมทั้งเทรดเดอร์ชักวิตกกังวลว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯกำลังประสบปัญหาถึงขั้นที่จะทำให้อัตราเติบโตของปริมาณความต้องการใช้น้ำมัน ต้องลดต่ำลงแล้ว

สัญญาล่วงหน้าน้ำมันดิบชนิดไลต์สวีตครูด ของตลาดไนเม็กซ์ แห่งนิวยอร์ก เพื่อการส่งมอบเดือนมกราคม อยู่ในระดับ 94.42 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เมื่อตอนปิดตลาดนิวยอร์กวันอังคาร(27) ต่ำลงจากราคาปิดวันก่อนถึง 3.28 ดอลลาร์ ส่วนสัญญาล่วงหน้าน้ำมันดิบชนิดเบรนต์ ของตลาดลอนดอน ก็ปิดตลาดวันเดียวกันที่ 92.52 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ลดลง 2.80 ดอลลาร์

ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ราคาน้ำมันดิบลดต่อเนื่องจากวันจันทร์(26) ก็คือท่าทีขององค์การประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน โดยที่ อาลี อัลไนมี รัฐมนตรีน้ำมันซาอุดีอาระเบีย กล่าวว่า ประเทศของเขาได้เพิ่มการผลิต จนสูงกว่าเป้าหมายล่าสุดซึ่งโอเปกกำหนดไว้ในมติการเพิ่มผลผลิตที่มีผลตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายนด้วยซ้ำ

ขณะที่ เปอร์โนโม ยัสกิอันโตโร รัฐมนตรีน้ำมันของอินโดนีเซีย ซึ่งเป็น 1 ในสมาชิกโอเปกเช่นกัน กล่าวว่าเขาจะสนับสนุนให้เพิ่มการผลิตขึ้นอีก 500,000 บาร์เรลต่อวัน ในการประชุมระดับรัฐมนตรีของโอเปกที่อาบูดาบี วันที่ 5 ธันวาคมนี้

นอกจากนั้น ตลาดยังชักเริ่มกังวลใจเกี่ยวกับเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ซึ่งทำท่าอาจจมลงสู่ภาวะถดถอย แอนดี เลอโบว์ แห่ง เอ็มเอฟ โกลบอล ยกตัวอย่างข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุดที่ชี้ว่า ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคอเมริกันได้ลดลงเป็นเดือนที่ 4 ติดต่อกันแล้ว เพราะความวิตกเรื่องน้ำมันแพงและความผันผวนในตลาดการเงิน ในสภาพเช่นนี้ จึงเกิดคำถามว่าจะมีการใช้น้ำมันกันเพิ่มขึ้นมากๆ ได้อย่างไร

ระหว่างช่วงการซื้อขายผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ในแถบเอเชียเมื่อวานนี้(28) น้ำมันดิบทั้ง 2 ชนิดซึ่งถือเป็นมาตรวัดสำคัญของราคาน้ำมันในตลาดโลกเวลานี้ ก็ยังคงมีราคาถอยลงต่อไปอีก อย่างไรก็ตาม เมื่อถึงช่วงซื้อขายของฟากยุโรป ราคาก็ชักมีทิศทางไม่ชัดเจน โดยในราวเที่ยงวันที่ตลาดลอนดอน สัญญาของไลต์สวีตครูดขยับลงอีก 18 เซ็นต์ อยู่ที่ 94.24 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนเบรนต์ขึ้นไป 25 เซ็นต์ อยู่ที่ 92.77 ดอลลาร์

นักวิเคราะห์บอกว่า เหตุผลสำคัญมาจากการที่รัฐมนตรีน้ำมันซาอุดีอาระเบีย ไปพูดที่สิงคโปร์วานนี้ เพราะแม้เขาบอกว่า ตลาดน้ำมันโลกยังคงมีซัปพลายอย่างพอเพียง และราคาที่สูงขึ้นมากไม่ได้สะท้อนสถานการณ์ของอุปสงค์-อุปทานอย่างถูกต้องเลย แต่การที่เขาไม่ยอมพูดฟันธงว่า ซาอุดิอาระเบียจะสนับสนุนให้เพิ่มการผลิตในที่ประชุมโอเปกวันที่ 5 ธันวาคม ก็ทำให้ตลาดเกิดความหวั่นไหวไม่มั่นใจ   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us