|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
บล.ไทยพาณิชย์ ชี้ผลกระทบซับไพรม์ปี 51 รุนแรง เหตุดอกเบี้ยสินเชื่อกู้บ้านปรับเพิ่มขึ้น ยอดหนี้สูญพุ่ง กดดันเศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอตัว บวกกับเงินไหลออกจากนักลงทุนทิ้งบอนด์สหรัฐฯ ขนเงินเข้าตลาดหุ้นเอเชีย ด้านบล.บัวหลวง ลั่นตลาดหุ้นไทยขาลงลากยาวถึงเลือกตั้ง ก่อนจะเริ่มปรับตัวเพิ่มขึ้นในไตรมาส 1/51 หนุนดัชนีตลาดหุ้นครึ่งปีแรกแตะ 1,146 จุด กำไรบจ.โต 25% ด้าน "เผดิมภพ"เผยอนาคตหุ้นอิงการเมืองดับสนิท ขณะที่ภาคธุรกิจหวั่นคนไทยเสพติดประชานิยมจากรัฐบาลชุดก่อน
วานนี้ (28พ.ย.) บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) วรรณ จำกัด จัดสัมมนาเรื่อง "จับกระแสการเงินโลกในปี 2008" โดยมีวิทยากรประกอบด้วย นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ กรรมการผู้จัดการ กลุ่มวิจัยเศรษฐกิจ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)ไทยพาณิชย์ จำกัด นายเผดิมภพ สงเคราะห์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) บัวหลวง จำกัด และนายสมจินต์ ศรไพศาล กรรมการผู้จัดการ บลจ. วรรณ ณ อาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
นายเศรษฐพุฒิ กล่าวว่า เม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศจะยังคงไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นในแถบเอเชีย จากการที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอตัวจากปัญหาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์คุณภาพต่ำ (ซับไพรม์) ที่จะยังคงมีข่าวในแง่ลบออกมาอีก และจะยังไม่จบลงง่ายๆ โดยจะมีผลกระทบรุนแรงในปีหน้าที่อัตราดอกเบี้ยการเปล่อยสินเชื่อกู้บ้านจะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น ทำให้มีผู้ที่กู้เงิน ไม่สามารถผ่อนชำระหนี้และถูกยึดบ้านมากขึ้น ซึ่งจะทำให้ราคาบ้านในอเมริกามีการปรับตัวลดลงได้อีก 13-14%
ทั้งนี้ ตราสารทางการเงินที่อ้างอิงกับซับไพรม์มีการถูกลดอันดับลง ส่งผลให้ผู้ที่ถือครองตราสารดังกล่าวมีผลขาดทุน และจากการที่ค่าเงินดอลลาร์จะมีการอ่อนค่าลงอีกมาก จึงทำให้ความเสี่ยงในอเมริกามากขึ้น นักลงทุนมีการลดการถือครองเงินสกุลดอลลาร์ออกมา ซึ่งจะส่งผลให้ค่าเงินบาทและค่าเงินสกุลเอเชีย มีการแข็งค่าขึ้น จึงทำให้เม็ดเงินการลงทุนไหลเข้ามาในประเทศแถบเอเชีย แต่เชื่อว่าจะไหลเข้ามาไม่มากจากได้รับแรงกดดันจากปัญหาซับไพรม์
สำหรับราคาน้ำมันในปีหน้าคาดว่าจะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นอีก 10 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จากความต้องการใช้ที่สูง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อทำให้ทุนการผลิตสินค้าเพิ่มขึ้นตามไปด้วย โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเคมี อิเล็กทรอนิกส์ ประมง รวมทั้งยังมีผลกระทบทำให้อัตราเงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้นอยู่ที่ 3% จากปีนี้ที่ 2%
"จากการที่ค่าเงินบาทมีการแข็งค่าขึ้นก็จะส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมที่นำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศ เช่น เหล็ก ปิโตรเลียม ก่อสร้าง เครื่องจักร เพราะทำให้ต้นทุนต่ำลง โดยอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบคือ อาหาร สินค้าเกษตร ยางพารา จากที่ใช้วัตถุดิบในประเทศเป็นหลัก"
นายเศรษฐพุฒิ กล่าวว่า การเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปีหน้าคาดว่าจะอยู่ที่ 4.5% จากปีนี้ที่ 4.2% แต่เชื่อว่าตัวเลขเศรษฐกิจน่าจะออกมาสูงกว่าที่คาดไว้ เพราะการเติบโตในช่วงไตรมาส 3/50 มีอัตราการเติบโตที่สูงมาก โดยคาดว่าอัตราดอกเบี้ยในปีหน้าจะอยู่ในช่วงขาขึ้น จากปีนี้ที่จะทรงตัว โดยมองว่าในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในเดือนธ.ค.นี้ จะคงอัตราดอกเบี้ย ทั้งนี้ คาดว่าอัตราการเติบโตกำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนในปีหน้าจะเพิ่มขึ้น 15% หลังจากในปีนี้การเติบโตของกำไรสุทธิบจ.อยู่ในระดับที่ต่ำ รวมถึงการที่หุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ มีการตั้งสำรองทางบัญชีจำนวนมาก
ฟันธงหุ้นพุ่งหลังเลือกตั้ง
นายเผดิมภพ กล่าวว่า เม็ดเงินต่างชาติที่จะไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นเอเชียต่อเมื่ออัตราผลตอบแทนการลงทุนพันธบัตร 10 ปีของสหรัฐฯ ปรับตัวลดลงอีก 0.5% หรืออยู่ที่ 3.4% จากปัจจุบันอยู่ที่ 3.9% เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ จะปรับตัวลดลงอีก 0.5% จะทำให้นักลงทุนระยะยาวที่ได้มีการเข้าไปลงทุนในพันธบัตรจากปัญหาซับไพรม์ มีการขายออกมาเพื่อหาแหล่งทุนที่ให้ผลตอบแทนที่สูงกว่า คือ การลงภูมิภาคอื่นหรือตลาดเกิดใหม่ ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น และจากที่นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิน้อยลง คาดว่าจะมีแรงขายพันธบัตร 10 ปี ออกมาในช่วงไตรมาส 1/51
ดังนั้น จึงทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น หลังจากที่มีการเลือกตั้งไปแล้ว โดยเชื่อว่าดัชนีในช่วงครึ่งปีแรกจะอยู่ที่ 1,146 จุด ซึ่งมีค่า P/E 12 เท่า และคาดอัตราการเติบโตกำไรสุทธิของบจ.เพิ่มขึ้น 25% โดยหุ้นกลุ่มถ่านหินจะมีกำไรเติบโตสูง จากที่ประเทศจีนจะมีการลงทุนในการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน กลุ่มธนาคารพาณิชย์ที่จากที่ปีนี้มีการกันสำรองตามมาตรฐานบัญชีที่สูง
สำหรับ หุ้นกลุ่มที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นในปีหน้าจะเป็นกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ อุปโภคบริโภค น้ำมัน ถ่านหิน ส่วนหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการเมืองนโยบายภาครัฐฯ สัมปทานต่างๆจะไม่ปรับตัวเพิ่มขึ้น เช่น กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง สื่อสาร เนื่องจากมีการประเมินว่ารัฐบาลใหม่จะมีวาระการบริหารประเทศเพียง 2 ปีเท่านั้น จึงทำให้ภาคเอกชนยังไม่กล้าที่จะลงทุน
ส่วนภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นก่อนการเลือกตั้งนั้น นายเผดิม-ภพ กล่าวว่า อยู่ในทิศทางขาลงจากเม็ดเงินต่างประเทศยังไม่ไหลเข้ามาลงทุนเพิ่มจากปัญหาซับไพรม์ และเม็ดเงินลงทุนของนักลงทุนระยะยาวของไทยมีการขายหุ้นไทยเพื่อที่จะเข้าไปลงทุนในพันธบัตร เพราะล่าสุดอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรอายุ 1 ปี อยู่ที่ 3.6% ซึ่งสูงกว่าอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนในตลาดหุ้นที่ 3.5% แต่ดัชนีจะมีการปรับตัวลดลงไม่มาก จากที่นักลงทุนสถาบันยังคงซื้อสุทธิ เพราะนักลงทุนรายย่อยหันเข้าไปลงทุนในกองทุนหุ้นระยะยาว (LTF) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพเพิ่มขึ้น
คนไทยเสพติดประชานิยมชุดก่อน
นายพรศิลป์ พัชรินทร์ตนะกุล รองกรรมการเลขาธิการหอการค้าไทย เปิดเผยในงานเสวนา “เศรษฐกิจหลังเลือกตั้ง จะรุ่งโรจน์ หรือร่วงโรย” วานนี้ (28 พ.ย.) ว่า เศรษฐกิจไทยปีหน้า คงจะฝากความหวังกับรัฐบาลชุดใหม่ที่มาจากการเลือกตั้งไม่ได้ เนื่องจากเป็นรัฐบาลผสม ดังนั้น การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจไทยที่ได้รับผลกระทบทั้งจากค่าเงินบาท ราคาน้ำมัน การฟื้นความเชื่อมั่นภาคประชาชน จะทำได้ไม่เต็มที่ ส่งผลให้อัตราการขยายตัวเศรษฐกิจไทยปีหน้า คาดว่าไม่น่าเติบโตเกินปีนี้ที่ระดับ 4.0-4.5%
นายวิชัย ศรีประเสริฐ อดีตนายกสมาคมผู้ส่งข้าวออกต่าง-ประเทศ กล่าวว่า รัฐบาลใหม่ที่มาจากการเลือกตั้ง คงไม่ได้มีผลต่อเศรษฐกิจไทยมากเท่าใด เนื่องจากพรรคการเมืองที่มาจัดตั้งรัฐบาลจะยังคงใช้นโยบายประชานิยมเข้ามาทำงาน
“ ทุกวันนี้คนไทยเสพติดนโยบายประชานิยมจากรัฐบาลชุดก่อน ซึ่งส่งผลเสียต่อระบบเศรษฐกิจประเทศ เพราะถ้าดูจากประวัติศาสตร์ พบว่าประเทศไหนใช้ประชานิยม เจ๊งทุกราย ไม่ว่าจะเป็นอาร์เจนติน่า ชิลี แต่ต้องใช้กลไกตลาดเข้ามาทำงาน” นายวิชัย กล่าว
นายพายัพ พยอมยนต์ อดีตรองเลขาธิการสำนักงานคณะ-กรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช. ) กล่าวคาดว่า เศรษฐกิจปี2551จะทรงตัว แต่จะดีกว่าปีนี้เล็กน้อย โดยอัตราเงินเฟ้อจะอยู่ที่ 4% แม้จะสูงกว่าปี 2550 แต่เป็นอัตราที่รับได้ เพราะไทยเป็นผู้ผลิตสินค้าเกษตร และส่งออกรายใหญ่ของโลก ขณะที่สถาน-การณ์ราคาน้ำมันเชื่อว่า ในที่สุดกลุ่มโอเปกจะต้องเพิ่มกำลังการผลิต ไม่เช่นนั้นหลายประเทศจะหันไปใช้พลังงานทดแทน ซึ่งจะไม่เป็นผลดีต่อกลุ่มโอเปก
อย่างไรก็ตาม ปีหน้าราคาน้ำมัน น่าจะอยู่ที่ระดับ 80-85 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ขณะที่ค่าเงินบาทโดยรวมจะอยู่ระดับ 33 บาท/เหรียญสหรัฐ แต่สิ่งที่รัฐบาลใหม่ต้องเร่งดำเนินการคือ การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยและสร้างระบบพื้นฐาน เพื่อลดต้นทุน โดยเฉพาะการจัดระบบลอจิสติกส์
|
|
|
|
|