Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน27 พฤศจิกายน 2550
คาดปีหน้าเศรษฐกิจไทยยังหืดจับ             
 


   
search resources

Economics




เศรษฐกิจไทยปี 51 เผชิญปัจจัยเสี่ยงภายนอกประเทศรุมเร้า เศรษฐกิจโลกชะลอตัว ราคาน้ำมัน แนวโน้มค่าเงินบาทแข็งอีกระลอก ส่งออกชะลอตัว หวังรัฐบาลชุดใหม่เรียกความมั่นใจผู้บริโภคและนักลงทุน กู้จีดีพีโต 5% นายกส.การตลาดฯ แนะ”Red Ocean” เป็นอีกทางเลือกในยุคเศรษฐกิจฝืด “เซเรบอส” ระบุปีหน้าสู่ยุคปัจเจกบุคคล แมสมาร์เก็ตติงหมดยุค การตลาดเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างประสบการณ์

ดร.ปรเมธี วิมลศิริ ที่ปรึกษาด้านนโยบายและแผนงาน สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กล่าวในงานวันนักการตลาดแห่งประเทศไทย เรื่อง RED OCEAN กำชัยชนะ...เหนือทะเลแดงเดือด โดยได้กล่าวถึงหัวข้อเรื่องทิศทางเศรษฐกิจไทยในปีหน้านี้ว่า จะเผชิญกับปัจจัยภายนอกประเทศมากกว่าจะเป็นปัจจัยภายใน เนื่องจากการเมืองภายในประเทศได้รัฐบาลชุดใหม่ที่เข้ามาบริหารประเทศ

โดยปัจจัยภายนอกที่จะกระทบต่อเศรษฐกิจไทย ประกอบด้วย ประการแรก แนวโน้มเศรษฐกิจโลกในปีหน้านี้จะขยายตัว 4.5% เมื่อเทียบกับปีนี้ 4.6% อีกทั้งยังมีปัจจัยเสี่ยงจากการชะลอตัวเศรษฐกิจของอเมริกา จากปัญหาภาคอสังหาริมทรัพย์และปัญหาซับไพรม์ ที่จะส่งผลกระทบต่อสาขาอื่นๆ ตลอดจนปัญหาการขาดดุล ความเชื่อมั่นนักลงทุน

ปัจจัยภายนอกประการที่สอง คือ แนวโน้มของราคาน้ำมันในปีหน้ายังอยู่ระดับสูงกว่าปีนี้ หากโอเปกไม่เปลี่ยนแปลงโควต้าการผลิต ซึ่งขณะนี้ราว 86 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลฯ และผลพวงจากราคาน้ำมัน มีผลทำให้ราคาสินค้ามีแนวโน้มจะเพิ่มราคาขึ้น อย่างไรก็ตามคาดว่าราคาน้ำมันจะเริ่มลดลงในช่วงกลางปีหน้านี้

ส่วนปัจจัยที่สาม คือ อัตราแลกเปลี่ยนในตลาดโลก ทั้งนี้คาดว่าค่าเงินบาทจะแข็งค่าขึ้น 3-4% จากปัจจุบัน 33 บาทต่อดอลลาร์ฯ ตลอดจนเศรษฐกิจคู่ค้าขยายตัวช้า การแข่งขันรุนแรงจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ดังนั้นโอกาสที่ภาคธุรกิจส่งออกในปีหน้านี้จะมีอัตราการเติบไม่ถึง 16-18% ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตในปีนี้

เศรษฐกิจไทยในปีหน้านี้จะมีปัจจัยสนับสนุน ได้แก่ เศรษฐกิจจะขยายตัวได้ดีแม้ว่าจะมีปัจจัยเสี่ยง โดยมีการประมาณการณ์ว่าปีหน้าจีดีพีโต 5% เมื่อเทียบกับปีนี้โต 4-4.5% การเมืองและรัฐบาลใหม่สร้างความเชื่อมั่นกับผู้บริโภคและนักลงทุน การเกิดโครงการเมกะโปรเจกต์ ฐานรายได้ปรับเพิ่มขึ้น โดยผู้รับราชการเพิ่มขึ้น 10% คิดเป็นมูลค่า 4,000 ล้านบาท รายได้เกษตรกรอยู่ในเกณฑ์ที่ดี มาตรการลดหย่อนภาษีอสังหาริมทรัพย์

ขณะที่เงินทุนไหลเข้ายังเพิ่มขึ้น และช่วยชดเชยการเกินดุลบัญชีเดินสะพัด ทำให้โดยรวมดุลการชำระเงินเกินดุล ส่วนอัตราการว่างงานไม่เกิน 2% ส่วนปัจจัยลบมาจากราคาน้ำมันและแนวโน้มเงินเฟ้อที่ปรับเพิ่มขึ้น 2.5-3% จากในช่วง 9 เดือน เงินเฟ้ออยู่ที่ 2%

ภาครัฐ-เอกชนพาเหรดลงทุนปี51

ดร.ปรเมธี กล่าวว่า ในปีหน้านี้การลงทุนจากภาคเอกชนจะฟื้นตัว จากการมีโครงการขนาดใหญ่ที่ได้รับการอนุมัติส่งเสริมลงทุนในปีนี้ โดยเฉพาะการลงทุนประเภทเครื่องจักรเนื่องจากกำลังการผลิตใกล้เต็ม อาทิ อิเล็กทรอนิกส์ รถยนต์ ปิโตรเคมี ส่งผลให้มีการนำเข้าสินค้าเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ปีนี้การลงทุนภาคเอกชนลดลงเป็น 1% เมื่อเทียบกับปี 2549 เป็น 3.9% โดยปัจจัยที่สนับสนุนด้านการลงทุนมาจาก อัตราดอกเบี้ย ความเชื่อมั่นดีขึ้นจากการเลือกตั้ง นอกจากนี้ภาครัฐยังมีการลงทุนโครงการเมกะโปรเจกต์สำคัญในปีหน้านี้อีกหลายโครงการ อาทิ โครงการรถไฟฟ้า หลังจากที่รัฐชะลอการลงทุนมาจากในปี 2549 จาก 4.5% เป็นเหลือ 3% ในปีนี้

“RedOcean”กลยุทธ์สู้เศรษฐกิจฝืด

นายสมบุญ ประสิทธิ์จูตระกูล นายกสมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ภาวะเศรษฐกิจที่ไม่ดี การมุ่งเน้น Blue Ocean หรือการมุ่งหาโอกาสทางการตลาดใหม่ๆ อาจจะไม่ได้เป็นคำตอบเสมอไปสำหรับนักการตลาด เนื่องจากในช่วงเศรษฐกิจไม่ดี ผู้บริโภคไม่ได้ต้องการทดลองสินค้าใหม่ๆ ดังนั้นจึงอยากให้มุ่งเน้น Red Ocean หรือการอาศัยความเชี่ยวชาญ พัฒนาและปรับปรุงประสิทธิภาพให้ดีขึ้น

สำหรับในปีหน้านี้ต้องดึงความเชื่อมั่นของผู้บริโภคกลับคืนมา ทั้งจากภาครัฐผลักดันโครงการเมกะโปรเจกต์ ซึ่งจะมีผลทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัว เพราะขณะนี้คนไม่มีเงินแต่ไม่นำมาใช้จ่าย ส่วนแนวโน้มน้ำมันที่ปรับเพิ่มขึ้นนั้น เชื่อว่าผู้บริโภคน่าจะปรับตัวได้แล้ว อย่างไรก็ตามหากธุรกิจจะดำเนินการให้มีผลกำไรมากขึ้น จะต้องปรับองค์กรให้มีประสิทธิภาพควบคู่กับการลดต้นทุน ขณะที่สินค้าที่มาแรงและไม่ว่าเศรษฐกิจจะดีหรือไม่ก็ตาม คือ กลุ่มเพื่อความงาม

ชี้เทรนด์ตลาดเปลี่ยนสู่ยุคปัจเจกบุคคล

ดร.ลักขณา ลีละยุทธโยธิน ประธานกรรมการบริหาร ภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บริษัท เซเรบอส (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวในหัวข้อถอดรหัสพฤติกรรมผู้บริโภคว่า ในปีหน้านี้เป็นยุคแห่งปัจเจกบุคคล ดังนั้นจึงหมดยุคของการทำแมส มาร์เก็ตติง โดยผู้บริโภคจะไม่ยึดเหนี่ยวสิ่งเก่าๆ สนใจการดูแลตัวเองมากขึ้น มีการเปลี่ยนได้อย่างรวดเร็วทำให้วงจรสินค้าสั้นลง อีกทั้งยังสนใจคุณภาพสินค้ามากกว่าปริมาณ และพร้อมที่จะจ่ายเงินเพิ่ม ต้องการสินค้าที่ผลิตสดใหม่จากธรรมชาติ ฉลากสินค้าอ่านเข้าใจง่าย ซึ่งเป็นยุคที่คืนสู่สามัญ

ดังนั้น ในยุคนี้การตลาดจะเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างประสบการณ์เท่านั้น จากนี้ไปนักการตลาดจะต้องมุ่งเน้นการสร้างประสบการณ์ อาทิ การเปิดโชว์รูมพิเศษ สร้างประสาทสัมผัสทั้งทุกส่วนของร่างกาย ขณะที่กลยุทธ์หนึ่งที่น่าสนใจและสามารถช่วงชิงส่วนแบ่งตลาดได้เป็นอย่างดี คือ การสร้างความมั่นใจและความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค เนื่องจากเป็นยุคที่ผู้บริโภคมีความเกรงกลัวโรคภัยไข้เจ็บ การก่อการร้าย ความปลอดภัยด้านอาหาร   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us