Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน27 พฤศจิกายน 2550
หุ้นเริ่มฟื้นคลายพิษซับไพรม์โบรกฯคาดผันผวนรับเลือกตั้ง             
 


   
search resources

Stock Exchange




ตลาดหุ้นไทยฟื้น อานิสงส์ตลาดหุ้นทั่วเอเชียเริ่มหายตื่นปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐฯวูบ โบรกฯระบุนักลงทุนเริ่มจับตากุนซือด้านเศรษฐกิจ รวมทั้งแผนกระตุ้นการลงทุนของรัฐบาลใหม่ แนะเพิ่มบริษัทคุณภาพระดมทุนในตลาดหุ้นไทย จี้กระตุ้นหนุนธุรกิจขนาดเล็ก-กลางให้อยู่รอดในภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวให้ได้ ด้านตลท.ถก6ตลาดหุ้นอาเซียนผุดความร่วมมือเพิ่มความสามารถแข่งขันในตลาดทุนโลก

ภาวะการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์วานนี้ (26 พ.ย.) ดัชนีปรับตัวอยู่ในแดนบวกตลอดทั้งวัน หลังได้รับอานิสงส์จากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของตลาดหุ้นทั่วเอเชียรวมถึงตลาดหุ้นในสหรัฐอเมริกา ขณะที่ตลาดหุ้นไทยแม้ยังโดนนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิอยาวต่อเนื่อง แต่ดัชนียังสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นมาปิดที่ 832.78 จุด เพิ่มขึ้น 8.53 จุด หรือ 1.03% โดยจุดสูงสุดของวันอยู่ที่ 836.96 จุดและจุดต่ำสุดอยู่ที่ 829.32 จุด มูลค่าการซื้อขาย 16,247.80 ล้านบาท

ทั้งนี้นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 342.26 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 913.70 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 571.44 ล้านบาท

นายอดิพงษ์ ภัทรวิกรม ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์(บล.)ไทยพาณิชย์ จำกัด กล่าวว่า ประเด็นที่นักลงทุนต้องการเพื่อกระตุ้นการลงทุนในตลาดหุ้นไทยคือ การเลือกตั้งและการจัดตั้งรัฐบาล โดยสิ่งที่นักลงทุนสนใจเป็นพิเศษ คือ บุคคลที่จะเข้ามาทำงานโดยเฉพาะในส่วนของงานทางด้านเศรษฐกิจ รวมทั้งผู้ที่จะเข้ามากำหนดทิศทางและนโยบายในการบริหารงานเรื่องต่างๆ

ทั้งนี้ ตลาดหุ้นจะได้รับความสนใจมากน้อยเพียงใด การส่งเสริมและการพัฒนาตลาดทุนไทยเพื่อให้มีประสิทธิภาพ มีความสามารถในการแข่งขันที่สูงกว่าที่เป็นอยู่ ทั้งการเน้นหาบริษัทที่มีคุณภาพเข้ามาจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์มากกว่าการหาบริษัทที่จะเข้ามาจดทะเบียนในจำนวนที่เยอะเพียงอย่างเดียว

"ตอนนี้เราต้องการบริษัทที่มีคุณภาพมากกว่าจำนวนที่เยอะมาก การสนับสนุนให้ธุรกิจโดยเฉพาะธุรกิจขนาดกลางสามารถอยู่รอดได้ และสามารถสร้างกำไรจากการทำธุรกิจได้ดีเป็นเรื่องที่นักลงทุนอยากเห็น"นายอดิพงษ์กล่าว

สำหรับทิศทางตลาดหุ้นไทยก่อนการเลือกตั้งสถิติ 8 ครั้งก่อนการเลือกตั้งพบว่า 1 เดือนก่อนการเลือกตั้งดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้น 6 ครั้งและมี 2 ครั้งที่ดัชนีปรับตัวลดลง ขณะที่ก่อนการเลือกตั้ง 2 สัปดาห์มีถึง 7 ครั้งที่ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นและมีเพียง 1 ครั้งที่ปรับตัวลดลง ด้านดัชนีตลาดหุ้นภายหลังการเลือกตั้งพบว่า 2 สัปดาห์หลังการเลือกตั้งดัชนีจะปรับตัวเพิ่มขึ้นเพียง 1 ครั้งและอีก 7 ครั้งที่ดัชนีปรับตัวลดลง

อย่างไรก็ตาม ทิศทางก่อนการเลือกตั้งในรอบนี้แตกต่างจาก 8 ครั้งที่ผ่านมาเนื่องจากเป็นช่วงที่นักลงทุนต่างชาติจะเริ่มหยุดการซื้อขายเพราะเป็นช่วงสิ้นปี จึงน่าจะไม่ส่งผลดีต่อตลาดหุ้นมากนัก

โบรกฯคาดหุ้นสวิงมากขึ้น

นายโกสินทร์ ศรีไพบูลย์ ผู้อำนวยการอาวุโส บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยหลังจากนี้ไปจะแกว่งตัวเพิ่มขึ้นได้ เนื่องจาก ตลาดหุ้นในต่างประเทศเริ่มฟื้นตัวจากที่ปัญหาในเรื่องอสังหาริมทรัพย์คุณภาพต่ำของสหรัฐอเมริกา(ซับไพรม์) รับรู้ในหุ้นไปพอสมควรแล้ว และค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯเริ่มมีเสถียรภาพจากขึ้น ประกอบกับแนวโน้มราคาน้ำมันจากการประชุมโอเปกในวันที่ 5 ธันวาคมนี้อาจจะมีการเพิ่มกำลังการผลิต

นอกจากนี้ในวันที่ 11 ธันวาคมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)จะมีการประชุมซึ่งคาดว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลดลง ส่วนปัจจัยภายในประเทศเรื่องการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในช่วงปลายเดือนธันวาคมนี้ ซึ่งทำให้ปัจจัยการเมืองกลับสู่ภาวะปกติมีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ทำให้นักลงทุนต่างประเทศมีความมั่นใจจากที่การเมืองไทยมีการพัฒนาในทิศทางที่ดีขึ้น

"ดัชนีตลาดหุ้นไทยคาดว่าจะปรับตัวขึ้นเพื่อตอบรับการที่จะมีการเลือกตั้ง ประกอบกับมีข่าวให้นักลงทุนลุ้นไม่ว่าจะเป็นการประชุมของโอเปกรวมทั้งการประชุมของเฟด ซึ่งจะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นไทย รวมถึงตลาดหุ้นต่างประเทศ จึงทำให้ในช่วงเดือนหน้าดัชนีน่าจะบวกได้ แต่หลังจากเลือกตั้งไปแล้ว คาดว่าดัชนีจะปรับฐานเพราะต้องใช้เวลาในการจัดตั้งรัฐบาล"นายโกสินทร์ กล่าว

อย่างไรก็ตาม บริษัทแนะนำให้ทยอยซื้อหุ้น โดยเฉพาะบริษัทในหุ้นกลุ่มพลังงาน ธนาคารพาณิชย์ ปิโตรเคมี เพราะเชื่อว่าหลังจากมีรัฐบาลใหม่เศรษฐกิจจะปรับตัวดีขึ้น

ลุ้นนโยบายรัฐบาลใหม่

นายอดิศักดิ์ คำมูล ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.เคจีไอ กล่าวว่า นโยบายในด้านเศรษฐกิจของแต่ละพรรคการเมืองคงไม่ส่งผลต่อตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้ เพราะเป็นเพียงการบอกกล่าวนโยบาย แต่ยังไม่สามารถลงมือทำได้จริง คงต้องรอเมื่อได้จัดตั้งรัฐบาลใหม่และลงมือปฎิบัติจริง ซึ่งหากเป็นเรื่องที่ดีตามที่มีการประกาศไว้ในแผน น่าจะทำให้ตลาดหุ้นถึงจะดีขึ้น โดยสิ่งที่รัฐบาลชุดใหม่ต้องทำคือ การสร้างการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจให้มีเสถียรภาพ มีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นทุกปี ต้องสร้างสวัสดิการที่ดีแก่ประชาชน เพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นแก่ผู้บริโภค

ในส่วนของการยกเลิกนโยบายกันสำรอง 30% จะเกิดขึ้นหรือไม่นั้น ส่วนตัวมองว่าเป็นสิ่งที่ทำได้ค่อนข้างยาก คงต้องให้เวลาในการพิจารณาไม่ใช่เมื่อมีรัฐบาลใหม่เข้ามาแล้วเลิกได้ทันที อย่างไรก็ตาม หากจะยกเลิกมาตรการดังกล่าวอาจจะมีการหามาตราการอื่นมาแทนเพื่อช่วยรักษาเสถียรค่าเงินบาท

6ตลาดหุ้นอาเซียนจับมือ

นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า การประชุมผู้บริหารระดับสูงจากตลาดหลักทรัพย์ 6 แห่งในอาเซียนครั้งที่ 4 หรือ ASEAN Exchanges CEOs Meeting ที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมในกรุงเทพฯ ระหว่างวันที่ 25 - 26 พ.ย.ที่ผ่านมาว่า ผู้บริหารระดับสูงของตลาดหลักทรัพย์ในอาเซียน ประกอบด้วย จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ ตลาดหลักทรัพย์จาการ์ตา ตลาดหลักทรัพย์เบอร์ซ่ามาเลเซีย ตลาดหลักทรัพย์ฟิลิปปินส์ และตลาดหลักทรัพย์โฮจิมินห์ มีความเห็นสอดคล้องกัน ในการสร้างความแข็งแกร่งและความน่าสนใจให้แก่ตลาดหลักทรัพย์กลุ่มอาเซียน เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันบนเวทีตลาดทุนโลก

ทั้งนี้ ตลาดหลักทรัพย์ทั้ง 6 แห่งจะร่วมกันพิจารณาแนวทางการทำงาน ที่จะเพิ่มความน่าสนใจให้กับตลาดหลักทรัพย์ของกลุ่มอาเซียน โดยเห็นว่าความร่วมมือจะมีทั้งในระดับทวิภาคี (Bilateral) และพหุภาคี (Multilateral) เพื่อมุ่งไปสู่เป้าหมายของการสร้างความเชื่อมโยงของตลาดทุนทั้งภูมิภาคภายในปี 2558 ทั้งนี้ จะมีการตั้งคณะทำงานเพื่อศึกษาความเป็นไปได้ร่วมกัน

“ผู้บริหารระดับสูงของตลาดหลักทรัพย์ทั้ง 6 แห่งในอาเซียนที่เข้าร่วมประชุมในครั้งนี้ มีความมั่นใจว่าความร่วมมือของพันธมิตรที่จะทำงานอย่างใกล้ชิดกันมากขึ้นนับจากนี้ เป็นก้าวสำคัญที่จะยกระดับตลาดหลักทรัพย์อาเซียนให้โดดเด่นขึ้นบนเวทีตลาดทุนโลก ” นางภัทรียากล่าว   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us