เลอ ได ชุค ชาวเวียดนามวัย 46 ปี เป็นผู้หนึ่งที่เคี่ยวกรำอยู่กับธุรกิจชิปปิ้งในโฮจิมินห์
ซิตี มาอย่างยาวนาน ตลอดชีวิตของเขาต้องพานพบกับการทดสอบความแข็งแกร่งทั้งในด้านบุคลิกลักษณะและความแน่วแน่ของจิตใจ
จากการที่แผ่นดินเกิดของเขาต้องผ่านช่วงสงครามล่าอาณานิคมถึงสองครั้ง และตอนนี้ก็กำลังอยู่ในห้วงเวลาแห่งการฟื้นฟูภาวะเศรษฐกิจอย่างรีบเร่ง
กระนั้น ชุค ก็ยังจัดแบ่งเวลาในแต่ละวันของเขาได้อย่างลงตัว ด้วยการตรากตรำกับงานที่
"SAIGON SHIPPING CO." ในตอนกลางวัน และสร้างสรรค์ผลงานศิลปะด้วยวิญญาณศิลปินในตัวเขาเมื่อถึงยามค่ำคืน
"คนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจว่าผมเป็นทั้งนักวาดและผู้จัดการของ SAIGON SHIPPING
ไปพร้อมๆ กันได้อย่างไร" ชุคชี้ถึงคำถามที่หลายคนเคยซักกับเขา
และให้คำตอบต่อด้วยว่า "ผมใช้เวลาตั้งแต่ช่วงหนึ่งทุ่มจนถึงห้าทุ่มกับการวาดภาพ
แต่ถ้าคืนไหนรู้สึกเหนื่อยมากก็จะเข้านอนแล้วตื่นขึ้นมาวาดภาพตอนตีสี่แทน
ส่วนวันอาทิตย์และวันหยุด ไม่ว่าจะเป็นคริสต์มาสหรือปีใหม่ ผมก็จะวาดภาพเช่นกัน
และเป็นอย่างนี้มานับสิบปีแล้ว"
ชุคเกิดเมื่อปี 1944 ที่เมืองไฮฟอง เป็นบุตรชายคนที่สามของครอบครัวที่มีสมาชิกอยู่ด้วยกันแปดคน
บิดาของเขาเป็นกวีผู้ใฝ่รู้ทางด้านภาษา และจุดนี้เองที่มีอิทธิพลต่อชุคอย่างมาก
พี่ชายคนโตของเขาประกอบธุรกิจชิปปิ้ง โดยเป็นผู้ช่วยผู้จัดการของ "ไฮฟอง
ชิปปิ้ง โค." ส่วนพี่ชายคนรองซึ่งเสียชีวิตไปเมื่อเจ็ดปีก่อนก็เป็นนักแต่งเพลง
น้องชายคนหนึ่งเป็นผู้จัดการโรงภาพยนตร์ในฮานอย พี่สาวคนโตทำงานในโรงงานแห่งหนึ่ง
ส่วนน้องสาวเป็นนักแสดง ซึ่งจัดได้ว่าเป็นครอบครัวศิลปินครอบครัวหนึ่งทีเดียว
ชุคเล่าว่าเขาโชคดีมากเพราะบรรดาศิลปินชั้นยอดของเวียดนามส่วนใหญ่จะเป็นเพื่อนสนิทกับพ่อของเขา
บุคคลเหล่านี้จึงเอ็นดูเขาราวกับลูกชายของตัวเอง อีกทั้งถ่ายทอดประสบการณ์และความรู้ทางศิลปะให้ด้วยความเต็มใจ
แต่เมื่อราว 3 ปีมานี้เองที่ชุคตัดสินใจลืมทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้รับการถ่ายทอดจากบรมครูทางศิลปะ
ลืมความรู้ที่ได้จากตำรา และลดการออกไปชมผลงานทางศิลปะตามสถานที่ต่างๆ ลงด้วยความมุ่งมั่นที่จะแสวงหาความรู้ใหม่จากธรรมชาติ
อย่างที่เขาอธิบายว่า "เรียนรู้สีสันจากก้อนเมฆ เรียนรู้ลายเส้นจากลวดลายบนหินอ่อนและเนื้อไม้
เรียนรู้แสงเงาและรูปร่างจากวัตถุโบราณ"
และเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ชุคก็ได้มีโอกาสเปิดแสดงผลงานภาพสีน้ำมันของตัวเองขึ้นที่โฮจิมินห์
ซิตี ซึ่งเขาบอกว่า "ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าเมื่อไหร่ที่จะมั่นใจได้ว่าภาพของตัวเองมีความสมบูรณ์
และเมื่อไหร่ที่ผมจะเซ็นชื่อสลักหลังภาพได้"
ปีนี้ ชุค ขายภาพของเขาได้ 3 ภาพ และปีหน้าเขาเตรียมจะเปิดแสดงผลงานศิลปะที่ฮานอยด้วย
ส่วนชีวิตในภาคของการทำงานนั้น ชุคย้อนอดีตให้ฟังว่าเมื่ออายุได้ราว 20
ปี เขาได้เข้าศึกษาที่โรงเรียนการเดินเรือในไฮฟอง และเมื่อบริษัทชิปปิ้ง
"VOSA" เปิดรับพนักงาน เขาและเพื่อนอีกสองคนจึงชักชวนกันไปสมัคร
แต่เพื่อนคนหนึ่งสอบเข้าโรงเรียนภาพยนตร์ได้เสียก่อน จึงเหลือชุคกับเพื่อนชื่อ
ฮา คัม ไค ที่เข้าทำงานที่ VOSA และปัจจุบันไคได้ก้าวขึ้นเป็นผู้บริหารคนหนึ่งของกิจการแห่งนี้ด้วย
ชุคเล่าว่าช่วงปี 1967 นั้น บุคลากรทางด้านชิปปิ้งกำลังขาดแคลน ผู้ที่อยู่ในธุรกิจแขนงนี้ส่วนใหญ่ก็คือผู้ที่พอจะมีความรู้ทางด้านภาษาฝรั่งเศส
และภาษาอังกฤษผสมกับประสบการณ์ทางธุรกิจบ้างเล็กน้อยเท่านั้น ทางผู้บริหารของ
VOSA จึงเล็งเห็นความจำเป็นที่จะต้องจัดการฝึกอบรมพนักงานให้มีความรู้ในธุรกิจนี้อย่างจริงจัง
เหตุนี้เองชุคจึงได้รับเลือกเป็นหนึ่งในพนักงานจำนวน 20 คนที่เข้ารับการอบรมทางด้านธุรกิจชิปปิ้งอย่างจริงจัง
หน้าที่รับผิดชอบประการแรกของชุคก็คือ การดูแลหน่วยงานด้านการเทียบท่าและดำเนินการด้านศุลกากร
โดยประจำอยู่ที่สำนักงานในไฮฟอง ต่อมาจึงย้ายไปประจำสาขาโฮจิมินห์ ซิตีในปี
1978
ครั้นถึงปี 1982 ชุคและพนักงานของโวซาอีกสองคน ก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้บริหารกิจการ
"SAIGON SHIPPING CO." ซึ่งคณะกรรมาธิการในสภาประชาชนจัดตั้งขึ้น
นับว่าเป็นงานบุกเบิกครั้งสำคัญของชุคและทีมงานทีเดียว
"ตอนแรกสุดเราไม่มีเรือแม้แต่ลำเดียว" ชุคบอก ธุรกิจในขณะนั้นจึงมีลักษณะของการร่วมทุนกับบริษัทเวียดนามในญี่ปุ่น
และซื้อเรือมือสองสำหรับขนส่งสินค้าจากญี่ปุ่น โชคดีที่ธุรกิจนำเข้าและส่งออกสินค้าในระยะนั้นกำลังเติบโต
"SAIGON SHIPPING CO." จึงเก็บเกี่ยวผลกำไรได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย
พร้อมกับซื้อเรือเพิ่มเติม เพื่อขยายฐานกิจการได้ในระยะเวลาอันรวดเร็ว
เพียงชั่วระยะเวลา 5 ปีก็มีเรือขนสินค้าเพิ่มขึ้นเป็น 12 ลำ กับเรือบรรทุกสินค้าแช่แข็งอีก
3 ลำ
ปี 1989 นับเป็นปีที่อุตสาหกรรมชิปปิ้งของเวียดนามเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ
เนื่องจากการเปิดตัวของกิจการเดินเรือขนส่งสินค้าในท้องถิ่นแห่งแรกชื่อ "GEMARTRANS"
อันเป็นการร่วมทุนระหว่าง "COMPAGNIE GENERALE MARITIME" กับ "VINAMARINE"
หลังจากนั้น โง ลัค ไต มือขวาของชุคซึ่งเคยเป็นรองอธิบดีกรมการสื่อสาร
การขนส่งและกิจการสาธารณะในโฮจิมินห์ ซิตี และปัจจุบันได้ก้าวขึ้นเป็นอธิบดีของกรมนี้
ก็ได้เล็งเห็นช่องทางธุรกิจใหม่ จึงติดต่อกับยักษ์ใหญ่ในธุรกิจชิปปิ้งจากเดนมาร์กอย่าง
"อี๊สต์ เอเชียติ๊ก โค." และนำไปสู่การก่อตั้ง "EAC SAIGON
SHIPPING CO." คู่แข่งรายสำคัญของ "GEMARTRANS" ในเวลาต่อมา
แต่เมื่อวันเวลาผ่านไป ความสำเร็จในธุรกิจก็ไม่อาจจีรังยั่งยืน โดยเฉพาะเมื่อเรือบรรทุกสินค้าของ
"SAIGON SHIPPING CO." กลายเป็นเรือคอนเทนเนอร์รุ่นใหม่ ซึ่งแน่นอนว่าบริษัทการค้าทั้งหลายย่อมพึงใจเลือกใช้บริการของบริษัทชิปปิ้งที่มีเรือคอนเทนเนอร์ประสิทธิภาพสูง
ยิ่งเมื่อมีผู้ประกอบการหน้าใหม่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้เกิดการแข่งขันกันตัดราคาค่าบริการก็ยิ่งทำให้
"SAIGON SHIPPING CO." จึงต้องตัดสินใจขายเรือบรรทุกสินค้าแช่แข็ง
3 ลำ กับเรือบรรทุกสินค้ารุ่นเก่าอีก 2 ลำออกไป คงเหลือแต่เรือบรรทุกสินค้าสู่สิงคโปร์
มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฮ่องกงและบางครั้งไปถึงจีนและญี่ปุ่นบ้างโดยส่วนใหญ่แล้วจะเป็นการบรรทุกสินค้าโภคภัณฑ์การเกษตร
เช่น ข้าวโพด พริกไทย หวายและไม้ออกจากโฮจิมินห์ ซิตี ส่วนในเที่ยวกลับก็บรรทุกเอาแป้งสาลี
แอสฟัลต์ หรือสินค้าทั่วไปเข้าประเทศ
ส่วนการรับมือกับการเติบโตของธุรกิจขนส่งสินค้าด้วยเรือคอนเทนเนอร์ในเวียดนาม
"SAIGON SHIPPING CO." เตรียมแผนการแตกแขนงธุรกิจออกไป อาทิ ธุรกิจด้านแทลลี่
หรือการตรวจสอบคาร์โกเมื่อเรือเข้าเทียบท่าและระหว่างการขนถ่ายสินค้าขึ้นลงเรือ
รวมทั้งบริการให้เช่าเรือแบบเหมาลำ เป็นต้น
นอกจากนั้น ยังเตรียมจัดหาเรือบรรทุกสินค้ารุ่นใหม่และมีขนาดใหญ่เพื่อใช้ในเส้นทางสู่ยุโรป
และคาดว่าจะไปถึงตลาดสหรัฐฯ ได้ เมื่อมีการยกเลิกนโยบายปิดกั้นทางการค้าในอนาคต
ทว่า อุปสรรคสำคัญประการหนึ่งก็คือการจัดหาเงินทุนสนับสนุนนั่นเอง และทางบริษัทเห็นว่าทางออกหนึ่งได้แก่
การหาผู้ร่วมทุนรายใหม่นั่นเอง
ผมชอบสุภาษิตบทหนึ่งที่ว่า "ผู้ที่มีความสุขคือผู้ที่สนุกกับการงาน"
ตัวผมเองนั้นรักธุรกิจชิปปิ้งและการวาดภาพแม้ว่ามันจะเป็นชีวิตที่หนักมาก
แต่ผมคิดว่ามันคือความสุขเมื่อคุณทำงานด้วยความสุขแล้วคุณก็จะสามารถผ่านพ้นความยากลำบากทั้งหลายไปได้
ชุคกล่าวทิ้งท้าย และชี้ถึงแรงผลักดันสำคัญในชีวิตของเขาได้อย่างน่าสนใจ