Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ กันยายน 2535








 
นิตยสารผู้จัดการ กันยายน 2535
"ปรีดา "ไทยยังไม่จำเป็นต้องใช้แคทาลิติกคอนเวอร์เตอร์"             
 


   
search resources

ปรีดา วิบูลย์สวัสดิ์
Vehicle




นโยบายใหม่เรื่องล่าที่คณะรัฐมนตรีมีมติออกมาในนามของการแก้ไขมลพิษด้านอากาศก็คือ บังคับให้รถยนต์ใหม่ที่ใช้เครื่องยนต์จุดระเบิดต้องติดตั้ง 'แคทาลิติกคอนเวอร์เตอร์' ทั้งนี้โดยมีผลบังคับตั้งแต่ 1 มกราคม ปี 2536 เป็นต้นไปสำหรับรถยนต์ขนาด 1600 ซีซีขึ้นไป และตั้งแต่ 1 กันยายน ปีเดียวกันสำหรับรถยนต์ขนาดต่ำกว่า 1600 ซีซี

แต่มติของคณะรัฐมนตรีเรื่องนี้ได้รับการคัดค้านอย่างยิ่งจากวิศวกรกลุ่มหนึ่งซึ่งรวมถึงศาสตราจารย์ ดร. ปรีดา วิบูลย์สวัสดิ์ ผู้มีบทบาทในงานด้านสิ่งแวดล้อมด้วย

ทั้งนี้เนื่องจากเห็นว่าเป็นนโยบายที่ไม่เหมาะสมและอาจไม่สามารถแก้ปัญหาได้จริงดังที่ตั้งเป้าหมายไว้ !

ในปัจจุบันปัญหามลพิษทางอากาศที่เกิดจากรถยนต์ได้ทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้นมาก มลพิษตัวที่เป็นปัญหาหนักอย่างแท้จริงก็คือ คาร์บอนมอนอกไซด์กับฝุ่นคาร์บอนหรือเขม่า ซึ่งแม้ว่าตัวแรกจะเกิดจากเครื่องยนต์จุดระเบิดที่อยู่ในข่ายบังคับของนโยบายก็จริง แต่สำหรับเขม่าแล้ว ส่วนใหญ่มาจากเครื่องยนต์ดีเซล ฉะนั้นการติดแคทาลิติกคอนเวอร์เตอร์ในรถยนต์ที่ใช้เบนซินจึงไม่ได้แก้ปัญหาเรื่องเขม่า

คอนเวอร์เตอร์นั้นเป็นอุปกรณ์ควบคุมมลพิษในไอเสียมีอยู่ 2 ประเภทด้วยกัน สำหรับแคทาลิติกคอนเวอร์เตอร์แบบสามทาง (THREE WAY) เป็นชนิดที่แพงที่สุด สามารถกำจัดได้ทั้งคาร์บอนมอนอกไซด์ ไฮโดรคาร์บอน และออกไซด์ของไนโตรเจน ส่วนออกซิไดซิ่งคอนเวอร์เตอร์กำจัดคาร์บอนมอนอกไซด์และไฮโดรคาร์บอนได้

การบังคับให้ติดตั้งแคทาลิติกคอนเวอร์เตอร์แบบสามทางจึงมีคุณค่าสำคัญอยู่ตรงที่สามารถขจัดคาร์บอนมอนอกไซด์เท่านั้น ซึ่งอาจสามารถใช้ออกซิไดซิ่งคอนเวอร์เตอร์ทดแทนได้ เพราะออกไซด์ของไนโตรเจนนั้นยังไม่มีข้อมูลที่ยืนยันอย่างชัดเจนว่า มีปริมาณสูงมากในอากาศจนเป็นอันตรายต่อสุขภาพ

ดังนั้นข้อต่างของคอนเวอร์เตอร์ 2 ตัวจึงแทบจะไม่มีนอกจากเรื่องของราคาที่แบบสามทางนั้นแพงกว่ามาก

"ข้อจำกัดทางเทคนิคตัวคอนเวอร์เตอร์สามทางมีหลายอย่าง ประการแรกตัวแคททาลิสต์ในคอนเวอร์เตอร์จะทำงานได้ผลดีจะต้องใช้ร่วมกับระบบควบคุมการจุดระเบิดอิเล็กทรอนิก ซึ่งทำให้มีราคาเพิ่มขึ้นถึง 30,000-50,000 บาท และถ้าปรับเครื่องยนต์ไม่ดีก็จะทำงานได้ 50% หรือถ้าอุณหภูมิสูงมาก คอนเวอร์เตอร์ก็เสื่อมสภาพเร็ว หรือถึงแม้ตั้งเครื่องยนต์ดีแล้ว อายุทำงานปกติก็ได้เพียงประมาณ 5 ปี หรือประมาณ 80,000 กิโลเมตรเท่านั้น ก็ต้องจ่ายอีก 30,000-50,000 บาทสำหรับชุดใหม่" ศาสตราจารย์ปรีดาอธิบายแจกแจงถึง 'ราคา' ที่เจ้าของรถใหม่อาจต้องเผชิญในอนาคต

แต่ถ้าคิดในระดับประเทศ ปี 2536 จะมีรถยนต์ชนิดที่ใช้แก๊สโซลีนออกมาใหม่ประมาณ 50,000 คัน ถ้าคิดว่าค่าติดตั้งแคทาลิติกคอนเวอร์เตอร์ชุดหนึ่งประมาณ 40,000 บาท ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นก็จะเท่ากับ 2,000,000,000 บาท !

ซึ่งการที่ประเทศต้องจ่ายเงินจำนวนมหาศาลนี้นับว่าไม่คุ้มค่า เพราะผลสรุปของวิทยานิพนธ์ระดับมหาบัณฑิตของสถาบันพัฒนบริหารศาสตร์เรื่อง 'การศึกษาประโยชน์และต้นทุนของสังคมจากการติดตั้งอุปกรณ์ขจัดมลพิษในรถยนต์นั่งชนิดที่ใช้น้ำมันเบนซินเป็นเชื้อเพลิง' ก็ได้ระบุไว้แล้วว่าถ้าอุปกรณ์ขจัดมลพิษมีราคาเกินชุดละ 30,000 บาท และมีอายุใช้งานเพียง 5 ปี ผลประโยชน์ต่อสังคมก็จะน้อยกว่าต้นทุน

แคทาลิติกคอนเวอร์เตอร์นั้นเป็นอุปกรณ์ควบคุมมลพิษในไอเสียที่มีเงื่อนไขทางเทคนิคหลายข้อด้วยกันนอกจากเรื่องระบบการทำงานดังได้กล่าวแล้ว เรื่องน้ำมันก็เป็นเงื่อนไขสำคัญที่จะละเลยไม่ได้ แคทาลิติกคอนเวอร์เตอร์ต้องใช้กับน้ำมันไร้สารตะกั่วเท่านั้น มิเช่นนั้นสารตะกั่วจะไปเคลือบแคททาลิสต์ทำให้คอนเวอร์เตอร์ไม่ทำงาน

แต่น้ำมันไร้สารตะกั่วส่วนใหญ่ที่มีขายอยู่ในเมืองไทยขณะนี้ก็ยังมีปัญหา กล่าวคือ เมื่อเติมแล้ว ในเวลาเร่งเครื่อง เครื่องยนต์จะน็อกแทบทุกครั้ง ซึ่งเป็นเรื่องของมาตรฐานน้ำมันที่ยังขาดการกำหนดและการตรวจสอบที่รัดกุมตลอดเวลาที่ผ่านมา ทั้งๆ ที่รัฐบาลลดภาษีให้เป็นพิเศษแต่บริษัทน้ำมันส่วนใหญ่ก็จำหน่ายสินค้าคุณภาพต่ำออกมา

และแม้ว่าในขณะนี้ได้มีการกำหนดมาตรฐานใหม่แล้ว แต่ก็ยังไม่มีผลบังคับใช้จนกว่าจะถึงเดือนกันยายน 2536 ช้ากว่ากำหนดที่บังคับให้ติดแคทาลิติกคอนเวอร์เตอร์ถึง 8 เดือน

"ที่ถูกแล้วควรต้องรอให้มาตรฐานน้ำมันไร้สารตะกั่วบังคับก่อน เพราะคอนเวอร์เตอร์ทุกชนิดต้องใช้กับ ULG ทั้งนั้น ถ้าตัวน้ำมันมีปัญหา เครื่องก็พัง ทำงานไม่ได้ ไม่มีประโยชน์อะไร การกำหนดนโยบายแบบไม่รู้เทคนิคแบบนี้ ในที่สุดคนเสียหายก็คือผู้บริโภค"

ศาสตราจารย์ ดร. ปรีดา วิบูลย์สวัสดิ์ แท้จริงนับว่าเป็นนักวิชาการที่มีความเชี่ยวชาญอยู่ในระดับแถวหน้าและได้รับการยอมรับอย่างยิ่งในด้านการพลังงาน ทุกวันนี้สอนหนังสือประจำอยู่ที่คณะพลังงานและวัสดุ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี นอกจากนั้นยังสนใจในประเด็นเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมหลายต่อหลายด้านด้วยกัน และด้วยการพิจารณาปัญหาสิ่งแวดล้อมเรื่องต่างๆ จึงยิ่งเห็นว่า ปัญหามลพิษทางอากาศยังไม่ใช่ปัญหาวิกฤตที่ต้องแก้ไขเร่งด่วนที่สุดเมื่อเทียบกับความรุนแรงของปัญหาอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาน้ำเน่าเสีย ปัญหาการเสี่ยงภัยจากสารเคมีหรือปัญหาด้านการผลิตพลังงานไฟฟ้า ฯลฯ

ดังนั้น ปัญหาที่รุนแรงกว่าก็ควรที่จะได้รับการแก้ไขก่อน ต้องมีการไตร่ตรองให้ดีในการเลือกว่าจะใช้ทรัพยากรไปในทางใด การกำหนดนโยบายแต่ละอย่างต้องผ่านการพิจารณาเหตุผลและปัจจัยหลายๆ ด้าน

"แน่นอนว่า เราอยากได้คุณภาพชีวิตที่ดี แต่ในเมื่อประเทศไทยยังเป็นประเทศยากจน เราก็ต้องทำในสิ่งที่พอดีๆ ก่อน จริงๆ แล้วต้องมอง COST BENEFIT ด้วย ไม่เช่นนั้นบางครั้งเสียเงินแล้วก็แก้ไม่ได้จริง ถ้ามองลึกกว่านั้น กฎออกมาได้อย่างไรส่วนหนึ่งน่าจะเป็นปัญหาด้านการเมือง ที่นักการเมืองของรัฐบาลในอดีตกับคณะได้ไปดูอุตสาหกรรมการผลิตคอนเวอร์เตอร์ในต่างประเทศแล้ว กลับมาก็มาเสนอนโยบายบังคับใช้ประกอบกับมีกระแสสนใจสิ่งแวดล้อมกันมากไม่ได้มองปัญหาต่างๆ ให้ละเอียดเสียก่อน"

สำหรับข้อเสนอของ ดร. ปรีดาต่อนโยบายที่ 'ผิดพลาด' ไปแล้ว มีอยู่ถึง 9 ทางเลือกด้วยกันในการนำเสนอต่อผู้กำหนดนโยบาย นับตั้งแต่เสนอให้เปิดทางเลือกด้านอุปกรณ์เอาไว้ ไม่ต้องระบุชนิด กำหนดแต่มาตรฐานด้านมลพิษออกมาให้ชัด แล้วปล่อยเป็นสิทธิและหน้าที่ของผู้ผลิตหรือผู้ใช้รถยนต์ที่จะเลือกเองเพราะในปัจจุบัน เทคโนโลยีในการควบคุมมลพิษก็ก้าวหน้ามากแล้ว อุปกรณ์บางชนิด เช่น คาบิวเรเตอร์อันเป็นอุปกรณ์ที่กำจัดคาร์บอนมอนอกไซด์ตัวปัญหาใหญ่ได้ก็มีราคาเพียง 25% ของชุดแคทาลิติกคอนเวอร์เตอร์เท่านั้น หรือแม้แต่ออกซิไดซิ่งคอนเวอร์เตอร์ก็มีราคาเพียงครึ่งหนึ่งของแบบ 3 ทางเช่นกัน

หนทางประนีประนอมอีกลักษณะหนึ่งก็คือ เกี่ยวกับขอบเขตการบังคับใช้ ซึ่งดร. ปรีดาเสนอว่าไม่ควรจะเป็นทั่วประเทศ เนื่องจากปัญหานั้นเกิดขึ้นเฉพาะในกรุงเทพฯ และปริมณฑล รถยนต์จำนวนครึ่งหนึ่งที่ใช้อยู่ในต่างจังหวัดยังไม่มีความจำเป็นต้องได้รับการควบคุมการปล่อยมลพิษ ประกอบกับถ้าปล่อยให้มีการบังคับใช้ทั้งประเทศจริงๆ ก็จะเกิดปัญหาตามมาอีกด้วยในด้านการซ่อมบำรุง ซึ่งในต่างจังหวัดแทบทุกพื้นที่ยังขาดเทคโนโลยี และขาดช่างผู้มีความรู้พอที่จะให้บริการเช่นเกี่ยวกับปริมาณน้ำมันไร้สารตะกั่วก็ยังมีไม่ทั่วถึง

การบังคับครอบคลุมรถยนต์ทุกขนาดก็เป็นทางเลือกที่ควรจะเปลี่ยนแปลงได้เช่นกัน เพราะสำหรับรถขนาดเล็กแล้วย่อมก่อให้เกิดมลพิษน้อยกว่า

อย่างไรก็ตามแนวทางแก้ปัญหาเรื่องมลพิษอากาศที่ดีที่สุดในความเห็นของดร. ปรีดาก็ยังคงไม่ใช่ทางเลือกทั้งหลายที่เสนอไว้ หากแต่เป็นเรื่องของการแก้ปัญหาที่ต้นตอ

"เมืองขนาดมีคน 6 ล้านคนอย่างกรุงเทพฯ ผิดพลาดมากที่ไม่มีระบบขนส่งมวลชน ถ้ามีระบบที่ดีก็ไม่มีใครอยากมีรถยนต์ อย่างรถไฟฟ้าทำได้ที่จะสร้างที่เกาะกลางถนนไม่ต้องมีการเวนคืนไม่ต้องเดือดร้อนประชาชน"

สำหรับดร. ปรีดา วิบูลย์สวัสดิ์ คำตอบที่แท้จริงและนโยบายที่มี 'สาระ' ในการแก้ปัญหามลพิษทางอากาศนั้นจึงคือการเร่งสร้างระบบขนส่งมวลชนที่มีคุณภาพและไม่รังแกประชาชน

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us