เป็นที่แน่นอนแล้วว่า ชุมพล ณ ลำเลียง คือกรรมการผู้จัดการใหญ่คนใหม่ ซึ่งจะเป็นผู้รับภารกิจต่อเนื่องทางประวัติศาสตร์ของปูนซิเมนต์ไทยกิจการขนาดยักษ์ใหญ่ที่มีวัฒนธรรมการบริหารยาวนานถึง
80 ปี สืบต่อจาก พารณ อิศรเสนา ณ อยุธยา ซึ่งสิ้นสุดอายุงานที่บริหารยาวนานตั้งแต่ปี
2528-2535 ในสิ้นปีนี้
"เมื่อพิจารณาในเรื่องของความสามารถแล้วทั้งคุณชุมพลและคุณทวีมีเท่าเทียมกันบทบาทของผู้บริหารทั้งสองจะไม่แตกต่างกันมากนัก
โดยถือว่าคุณชุมพลเป็นหมายเลขหนึ่งของปูนซีเมนต์ไทยและคุณทวีเป็นหมายเลขสองรองผู้จัดการใหญ่"
ศาสตราจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ ประธานคณะกรรมการบริษัทกล่าว
ก่อนหน้านี้ในวันที่ 1 กรกฎาคม ประกาศการแต่งตั้งรองผู้จัดการใหญ่สองคนคือ
ชุมพลและทวีซึ่งเป็นผู้ช่วยผจก. ใหญ่อาวุโสได้ก่อให้เกิดสิ่งเหนือความคาดหมายของสาธารณชน
เพราะเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของปูนซิเมนต์ที่ตัดสินใจเช่นนี้ อันเป็นสิ่งที่สะท้อนถึงความลำบากใจอย่างยิ่งยวดต่อการเลือกนักบริหารที่มีความสามารถทัดเทียมกัน
"การเลือกคนของปูนมีปัจจัยพิจารณาอยู่ 3 ข้อ CAPABILTY ACCEPTIBILITY
และSENIORITY" พารณกล่าวถึงเหตุผลการเลือกผู้บริหารคนใหม่
ชุมพล ณ ลำเลียง วัย 45 ปี เป็นนักวางแผนที่มีบทบาทต่อทิศทางการขยายกิจการขององค์กรคนหนึ่ง
โดยประวัติจบปริญญาตรีวิศวกรรมเครื่องกลจากมหาวิทยาลัยวอชิงตันและปริญญาโทบริหารธุรกิจจากฮาร์วาร์ด
เคยมีประสบการณ์ทำงานกับธนาคารโลกที่นิวยอร์คและเมื่อกลับเมืองไทยเคยทำงานที่
บงล. ทิสโก้ ความโดดเด่นของฝีมือการบริหารการเงินช่วงกิจการขยายตัวมาก ได้ผลักดันให้เขากลายเป็นดาวรุ่ง
เริ่มตั้งแต่ทำงานเป็นผู้อำนวยการฝ่ายการเงินและวางแผนให้กับปูนซิเมนต์ไทยในปี
2515 จนครั้งล่าสุดเป็นผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่อาวุโสกลุ่มวัสดุก่อสร้าง แต่ชุมพลมีบุคลิกส่วนตัวที่ขัดแย้งกับความเป็นคนปูนค่อนข้างมาก
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องส่วนตัวหรือความเป็นคนปิดตัวเงียบ
ขณะที่นายช่างทวี บุตรสุนทร ลูกหม้อวัย 53 ปี ซึ่งจบปริญญาตรีวิศวกรรมสาขาเครื่องกลจากจุฬาฯ
เริ่มงานกับบริษัทในปี 2505 ครั้งล่าสุดเป็นผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่อาวุโสสายการตลาดและการค้า
แม้จังหวะการไต่เต้าและเติบโตในตำแหน่งบริหารจะอาวุโสอ่อนกว่าชุมพล แต่ความเป็นคนปูนที่มีความสามารถกับมนุษยสัมพันธ์เป็นเลิศทั่วทิศ
จนเป็นที่ยอมรับนับถือในวงการธุรกิจ สื่อมวลชน วงการศึกษาในฐานะอาจารย์ ทำให้นายช่างทวีมีความพิเศษที่ชุมพลไม่มี
หลังจากบัญชา ล่ำซำ กรรมการท่านหนึ่งได้ถึงแก่กรรม การเปลี่ยนแปลงได้เกิดขึ้นเมื่อปลายเดือนกรกฎาคมศกนี้
ที่ประชุมคณะกรรมการซึ่งประกอบด้วย ศ. สัญญา ธรรมศักดิ์ เป็นประธานบอร์ดและโอสถ
โกศิน เป็นรองประธาน และกรรมการทั้งหมดได้มีมติแต่งตั้งชุมพล ณ ลำเลียง เป็นกรรมการแทนบัญชา
ล่ำซำ
"การแต่งตั้งคุณชุมพลเป็นกรรมการในบอร์ด ถือว่าเป็นสัญญาณ เพราะกรรมการผู้จัดการใหญ่ต้องแต่งตั้งจากกรรมการ
พอสิ้นปีคุณพารณออกจากตำแหน่งบริหาร แต่ยังเป็นกรรมการ ซึ่งบอร์ดอยากให้คุณพารณเป็นกรรมการต่อ
เพื่อความต่อเนื่อง และท่านเป็นคนที่มีคุณค่ามากเป็น ผู้ที่ทุ่มเทชีวิตแก่ปูนซิเมนต์ไทยอย่างยิ่ง"
ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ จิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา
กล่าว
นอกเหนือจากการเป็นกรรมการคนสำคัญในบอร์ดปูนซิเมนต์ไทยแล้ว พารณยังได้รับการแต่งตั้งให้เป็นประธานองค์การรถไฟฟ้าของรัฐและตำแหน่งกรรมการในสถาบันสำคัญๆ
เช่น สถาบันปิโตเลียมแห่งชาติ ทีดีอาร์ไอ ไอเมท สภาอุตสาหกรรม ฯลฯ
อย่างไรก็ตามในระยะเวลาที่เหลืออีกประมาณอีก 3 เดือนข้างหน้า พารณได้กล่าวว่า
บริษัทปูนซิเมนต์ไทยได้มีการปรับโครงสร้างการบริหารงานครั้งใหญ่เพื่อให้เกิดความคล่องตัวและประสิทธิภาพในการบริหารงานมากขึ้น
ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. ปีหน้า สายบริหารงานใหม่จะแบ่งเป็น 4 กลุ่มหลักคือหนึ่ง-กลุ่มซิเมนต์ที่มีทวี
บุตรสุนทร รองผู้จัดการใหญ่เป็นผู้ดูแลสองกลุ่มวัสดุก่อสร้างดูแลโดยสบสันต์
เกตุสุวรรณ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่อาวุโส สาม-กลุ่มเครื่องจักรกลและไฟฟ้ามีประมนต์
สุธีวงศ์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่อาวุโสดูแล และสี่-กลุ่มกระดาษและปิโตรเคมี
ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่อาวุโสดูแลโดยมีสองผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่คือบันลือ กัมปนาทแสนยากร
และเปรม โชติวานิช
ขณะที่ ชุมพล ณ ลำเลียงเป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ (PRESIDENT) เป็นผู้วางกลยุทธ์ธุรกิจเป้าหมายการแข่งขันระดับนานาชาติ
โดยเฉพาะในโครงการกระจกของบริษัทสยามการ์เดียนซึ่งชุมพลโดยส่วนตัวเป็นเพื่อนเก่ากับ
ชัยคีรี ศรีเฟื่องฟุ้ง ผู้บริหารระดับสูงของบริษัท กระจกไทยอาซาฮีและโครงการลงทุนใหม่ๆ
ในอินโดจีน
ภายใต้ภาวะผันผวนทางการเมืองและเศรษฐกิจโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและมีอัตราเสี่ยงที่สลับซับซ้อนมากขึ้นภายในทศวรรษ
ที่ 1990 นี้จึงเป็นเรื่องท้าทายความสามารถของกรรมการผู้จัดการใหญ่คนใหม่ของปูนซิเมนต์ไทยในการจัดการพัฒนาองค์กรยักษ์ใหญ่อายุ
80 ปีให้แข็งแกร่งเป็นปึกแผ่นมั่นคงจนสามารถรุกก้าวสู้กับสถานการณ์การแข่งขันรุนแรงและขยายฐานธุรกิจสู่ระดับโลกได้
!!