|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
เจ้าตลาดพัฒนาโฮมออฟฟิศ-อาคารพาณิชย์โซนพระราม 3 ภายใต้แบรนด์ เจ.เอส.พี. และทรัพย์รุ่งเรือง เร่งสยายปีกการลงทุนรับรัฐบาลชุดใหม่ปี"51 ทุ่มเงินลุยเปิด 3 โปรเจกต์ใหม่ มูลค่า 1,400 ล้านบาท ระบุ 2 โครงการแรกอิงแนวรถไฟฟ้าบีเอสส่วนต่อขยายแบริ่ง-สมุทรปราการ พร้อมแทรกเข้าถนนจรัสสนิทวงศ์ ผุดทาวน์เฮาส์ 2.29 ล้านบาท
นายทนงศักดิ์ มโนธรรมรักษา ประธานกรรมการบริหาร เจ.เอส.พี.กรุ๊ป ผู้ดำเนินธุรกิจอาคารพาณิชย์,โฮมออฟิศ,ทาวน์เฮาส์และบ้านเดี่ยว ภายใต้แบรนด์ "เจ.เอส.พี."และ "ทรัพย์รุ่งเรือง"เปิดเผยถึงแผนการดำเนินงานของบริษัทในปี2551 ว่า ในส่วนแรกจะมีการปรับโครงสร้างกลุ่มผู้ถือหุ้นใหม่ให้เกิดความชัดเจนในการดำเนินงานมากขึ้น จากเดิมที่จะพัฒนาบริษัทละโครงการ และถือหุ้นอยู่เพียง 2 กลุ่มหลัก คือกลุ่มของตนและกลุ่มนายสุชาติ สันตติทรัพย์ ในสัดส่วนที่เท่ากัน แต่เมื่อปลายปี 48 ได้ดึงกลุ่มผู้ร่วมทุนเข้ามาอีก 1 รายคือบริษัท ดี.เค.เรียลเอสเตท จำกัด ของนายประโยชน์ สุขศรีการ ซึ่งดำเนินธุรกิจพัฒนาโครงการบ้านจัดสรรย่านบางบอนและสมุทรสาคร รวมไปถึงธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ทำให้โครงสร้างของผู้ถือหุ้นเปลี่ยนไป โดยตนและนายสุชาติจะถือหุ้นรวมกัน 55% และกลุ่มนายประโยชน์ สัดส่วน45% ในนามบริษัท เจ.เอส.พี.กรุ๊ป ด้วยทุนจดทะเบียนเบื้องต้น 100 ล้านบาท ส่วนบริษัทลูกก็จะยุบตัวไปและพัฒนาในนามของเครือเจ.เอส.พี.กรุ๊ป เพียงบริษัทเดียว
ในส่วนของแผนการพัฒนาโครงการใหม่นั้น ในเบื้องต้นจะเปิด 3 โครงการใหม่ มูลค่าโครงการประมาณ 1,400 ล้านบาท จำนวน 700 ยูนิต ซึ่ง 1-2 โครงแรก จะอยู่ในแนวรถไฟฟ้าบีทีเอสส่วนต่อขยายสายสีเขียว (แบริ่ง-สมุทรปราการ) โดยแปลงแรกตั้งอยู่บริเวณถ.สุขุมวิท กม.32.5 บนพื้นที่ทั้งหมด 22 ไร่ พัฒนาเป็นอาคารพาณิชย์ 4 ชั้น จำนวน 77 ยูนิต ขนาด 17 ตารางวา ราคา 3 ล้านบาท และทาวน์โฮม 3 จำนวน104 ยูนิต ขนาด 25 ตารางวา ราคา 2.9 ล้านบาท รวมมูลค่าโครงการกว่า 400 ล้านบาท ภายใต้แบรนด์ "ทรัพย์รุ่งเรืองเซ็นเตอร์" ในนามบริษัท ทรัพย์รุ่งเรือง เซ็นเตอร์ จำกัด
อีกแปลงตั้งอยู่บริเวณถ.สุขุมวิท กม.ที่ 34 บนพื้นที่ 57 ไร่ พัฒนาเป็นอาคารพาณิชย์ 3 ชั้น จำนวนกว่า 120 ยูนิต ราคา 1.6 ล้านบาท,อาคารพาณิชย์ 4 ชั้น จำนวน 20 ยูนิต ราคา 3 ล้านบาท และบ้านเดี่ยว 1 ชั้น จำนวน 245 ยูนิต ราคา 1.99 ล้านบาท รวมมูลค่า 800 ล้านบาท ภายใต้แบรนด์ "ทรัพย์รุ่งเรือง ซิตี้" ในนามบริษัท ทรัพย์รุ่งเรือง ซิตี้ จำกัด โดยทั้งสองแปลงได้รับการสนับสนุนจากธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด(มหาชน)หรือ KK และจะเปิดการขายได้ประมาเดือนเม.ย.51
"ที่ผ่านมาเจ.เอส.พี.จะถนัดเรื่องการพัฒนาโครงการประเภทโฮมออฟฟิศและอาคารพาณิชย์ย่านใจกลางเมือง ให้เช่าระยะเวลา 30 ปี โดยหากเป็นโครงการใจกลางเมืองจะใช้แบรนด์ เจ.เอส.พี.หากเป็นชานเมืองจะใช้แบรนด์ ทรัพย์รุ่งเรือง ในขณะที่กลุ่ม ดี.เค.ฯจะมีประสบการณ์ด้านการก่อสร้าง ทำให้บริษัทลดต้นทุนการก่อสร้างได้ถึง 15%"
นายทนงศักดิ์ กล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้ในปีหน้ายังมีแผนนำที่ดินในซอยจรัญสนิทวงศ์ 13 ประมาณ7 ไร่ ซึ่งอยู่ติดถนนใหญ่ มาพัฒนาเป็นทาวน์เฮาส์ 2 ชั้น ขนาด 22 ตารางวา ราคา 2.29 ล้านบาท รวม 73 ยูนิต มูลค่าโครงการ 150 ล้านบาท ภายใต้แบรนด์ "ทรัพย์รุ่งเรืองทาวน์โฮม"
สำหรับโครงการที่อยู่ระหว่างเปิดขายในปัจจุบันมีทั้งหมด 4 โครงการ (ปิดการขายไป 2 โครงการ) คิดเป็นมูลค่าขายประมาณ 900 ล้านบาท เช่น ทรัพย์รุ่งเรือง ประชาอุทิศ 33 ในนามบริษัท เจ.เอส.พี.บ้านและที่ดิน จำกัด ขณะนี้เหลือขายประมาณ 30 ยูนิต จากทั้งหมด 174 ยูนิต และโครงการ ทรัพย์รุ่งเรือง บางปู โฮมแฟคตอรี่ ในนามบริษัท ทรัพย์รุ่งเรือง บางปู จำกัด ขณะนี้เฟสแรกมียอดขายแล้ว 90 ยูนิตจาก 120 ยูนิต
ส่วนโครงการมินิแฟคตอรี่ ต้องชะลอการขายออกไปก่อน เนื่องจากได้รับผลกระทบจากากรปิดตัวโรงงานหลายๆแห่งในนิคมอุตสาหกรรมบางปู แต่คาดว่าจะสามารถเปิดขายได้อีกครั้งหลังการเลือกตั้งรัฐบาลชุดใหม่
"นโยบายของบริษัทจะเน้นการซื้อที่ดินที่ติดถนนใหญ่และอยู่หน้าถนนในซอยใหญ่เท่านั้น เพราะครั้งหนึ่งเคยมีประสบการณ์จากการซื้อที่ดินมาพัฒนาโครงการ ทรัพย์รุ่งเรือง ประชาอุทิศ 33 มาแล้ว ซึ่งขณะนั้นซื้อที่ดินมาในราคาตารางวาละ 1 หมื่นกว่าบาท จากที่เคยซื้อที่ดินราคาตารางวาละ 1 แสนบาท แต่พอนำมาพัฒนาแล้วปรากฏว่าทำให้ปิดการขายได้ช้าเนื่องจากอยู่ในซอยเล็ก"นายทนงศักดิ์ กล่าว
อย่างไรก็ตามในปี50 นี้ บริษัทคาดว่าจะมียอดขายโดยรวมประมาณ 1,000 ล้านบาท และมียอดโอน 850 ล้านบาท
|
|
|
|
|