“แบลคมอร์ส” มั่นใจตลาดเสริมอาหารไม่ซบตามเศรษฐกิจ เปิดแผนปีหน้าส่งสินค้าใหม่อีก 2 ตัว เพิ่มพนักงานแนะนำสินค้า มุ่งเน้นสร้างสัมพันธ์กับลูกค้ามากขึ้น อัดงบตลาด 50 ล้านบาทลุยเต็มที่

นางวรพรรณ ยรรยง ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท แบลคมอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ผู้แทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร “แบลคมอร์ส” จากประเทศออสเตรเลีย เปิดเผยว่า ภาพรวมผลิตภัณฑ์เสริมอาหารในประเทศไทยมีอัตราการเติบโตอยู่ในเกณฑ์ที่ดีมาก คิดเป็นสัดส่วน 10 –15% ทุกปีจากมูลค่าตลาดรวมกว่า 4,000- 5,000 ล้านบาท แม้ว่าภาวะเศรษฐกิจจะเป็นเช่นไรก็ตาม แต่ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารไม่ได้รับผลกระทบมากเท่าใดนัก สาเหตุเนื่องมาจาก กลุ่มลูกค้าของผลิตภัณฑ์เป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้ออยู่ในระดับกลางไปจนถึงระดับสูงอยู่แล้ว

ดังนั้นปีหน้าบริษัทฯจึงมีแผนที่จะรุกตลาดมากขึ้นด้วยการเปิดตัวอีก 2 ผลิตภัณฑ์ใหม่เข้ามาเสริมไลน์ธุรกิจเพิ่ม จากเดิมที่มีสินค้าอยู่ประมาณ 30 รายการ พร้อมกันนี้บริษัทฯยังมีแผนที่จะรักษาฐานลูกค้าเดิมและสร้างฐานลูกค้าใหม่ ด้วยการเพิ่มจำนวนพนักงานแนะนำสินค้าในแต่ละประเภทตามช่องทางจำหน่ายในร้านค้าทั่วไปที่แบรนด์ของแบลคมอร์สมีอยู่กว่า 1,600 แห่ง เพื่อเพิ่มการรับรู้ให้กับลูกค้ามากขึ้น

ปัจจุบันสินค้าแบรนด์แบลคมอร์ส ถือได้ว่าว่าเป็นผู้นำในตลาดผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสูตรธรรมชาติ และเลียนแบบธรรมชาติ เมื่อวัดจากสถิติใบเสร็จตามร้านขายยาทั่วไป ทั้งนี้แม้ว่าคู่แข่งที่มีอยู่ในตลาดดังกล่าวจะมีเพิ่มมากยิ่งขึ้นเมื่อดูจากกระแสการสนใจรักษาสุขภาพของผู้บริโภคที่มีเพิ่มมากขึ้น เพราะสินค้าจำพวกเสริมอาหารมีกลุ่มผู้รักสุขภาพที่หลากหลาย อาทิ เช่น กลุ่มวัยทำงาน กลุ่มแม่บ้าน กลุ่มผู้สูงอายุ เป็นต้น

สำหรับการทำตลาดของบริษัทฯเองจะมีการปรับเลี่ยนกลยุทธ์เล็กน้อย คือ เน้นการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าหรือซีอาร์เอ็ม ใช้คอนเซ็ปท์ “ไลฟ์ สไตล์มาร์เก็ตติ้ง” โดยวางงบการตลาดไว้ประมาณ 50 ล้านบาท เพื่อจัดทำอีเว้นต์ โรดโชว์ ต่างๆสร้างความหลากหลายให้กับตลาด

ล่าสุดเพื่อเป็นการตอกย้ำการให้ความสำคัญกับการทำตลาดให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายมากยิ่งขึ้น บริษัทฯจะจัดงาน “New Year New You เป็นคนใหม่...เริ่มได้ด้วยตัวคุณเอง” ระหว่างวันที่ 15-21 พฤศจิกายน 2550 ที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัล ปิ่นเกล้า ซึ่งงานจะมีพนักงานตรวจสุขภาพผิวและดวงตา พร้อมทั้งคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ 12 วิธี เชื่อว่าการทำการตลาดรูปแบบนี้จะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยเพิ่มแบรนด์รอยัลตี้ต่อกลุ่มลูกค้ามากขึ้น

อย่างไรก็ตามสิ้นปีนี้ จากแผนการทำตลาดบริษัทฯคาดว่า ยอดขายทั้งหมดจะมีอัตราการเติบโตขึ้นอีกประมาณ 15% เมื่อเปรียบเทียบกับปีที่ผ่านมา