Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายสัปดาห์19 พฤศจิกายน 2550
แนวโน้มราคาสินค้าโภคภัณฑ์ยังแรงต่อเนื่อง             
 


   
search resources

Economics




วงจรขาขึ้นของสินค้าโภคภัณฑ์ยังไม่จบ ทองแดง น้ำมัน ถ่านหิน ค่าระวางเรือ ยังจะแพงหูฉี่ เหตุความต้องการจากจีน – วิกฤติซับไพร์ม - เฮดจ์ฟันด์เก็งกำไร ดันราคาสูงต่อเนื่อง ทำดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยลอยลำเนื่องจากมีหุ้นกลุ่มน้ำมัน-ถ่านหิน-เดินเรือ เป็นแกนหลัก ทำให้เห็น 1,000 จุดในปีหน้าได้ไม่ยาก

ราคาน้ำมันบาเรลละ 100 เหรียญ, ราคาทองคำที่ 840 เหรียญต่อออนซ์ รวมถึงค่าระวางเรือที่ระดับกว่า 1 หมื่นจุด สิ่งเหล่านี้คือส่วนหนึ่งของประจักษ์พยานความร้อนแรงของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่พุ่งขึ้นอย่างไม่หยุดยั้งและมากเกินกว่าที่หลายคนเคยคาดคิดไว้จนแทบไม่เชื่อด้วยซ้ำว่ามันได้เกิดขึ้นแล้ว

ไม่ว่าเหตุผลจะมาจากการโหมบริโภคอย่างหมาศาลของประเทศจีน, การเก็งกำไรของเฮดจ์ฟันด์, การเปลี่ยนสินทรัพย์ลงทุนอันเนื่องจากวิกฤติซับไพร์มในสหรัฐ, การอ่อนค่าลงของสกุลเงินดอลลาร์ หรืออะไรก็แล้วแต่ แน่นอนว่ามันจะต้องส่งผลกระทบถึงคุณ...ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

สุกิจ อุดมศิริกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์(บล.)นครหลวงไทย ประเมินว่า ราคาของกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลกไม่ว่าจะเป็น น้ำมัน, ถ่านหิน, ทองแดง, ทองคำ, เหล็ก, ค่าระวางเรือ และสินค้าเกษตร ยังมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องจากมีความต้องการใช้(Demand)ที่สูง โดยเฉพาะจากประเทศจีน ซึ่งเป็นตลาดที่ต้องการใช้สินค้าโภคภัณฑ์จำนวนมาก เพราะภาพรวมเศรษฐกิจจีนยังจะเติบโตอีก 2-3 ปีข้างหน้า รวมทั้งมีโครงการขนาดใหญ่ที่จะลงทุนอีกหลายโครงการ

โดยการเคลื่อนไหวของราคาน้ำมันจากนี้ไป คาดว่าจะยังคงอยู่ระดับสูงได้อีกประมาณ 1 ปี ซึ่งปัจจุบันราคาจะผันผวนใกล้ระดับ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และมีการประเมินเป้าหมายใหม่ ที่ระดับ 120 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งโดยส่วนตัวประเมินว่ามีโอกาสจะปรับขึ้นไปยืนได้ แต่คาดว่าเป็นปีหน้า

อย่างไรก็ตาม การปรับตัวขึ้นของราคาน้ำมันโดยส่วนใหญ่ จะมีส่วนต่าง (พรีเมียม) ของความต้องการใช้จริงกับการเก็งกำไรอยู่ 10-15% เพราะมีแรงเก็งกำไรในตลาดซื้อขายล่วงหน้าผสมอยู่ด้วย

ส่วนแนวโน้มราคาถ่านหินยังเป็นขาขึ้น และมีโอกาสที่จะปรับตัวสูงขึ้นแรงกว่าราคาน้ำมัน เนื่องจากความต้องการใช้ถ่านหินของทั่วโลกเพิ่มขึ้นจากระดับ 20% เป็น 28% ของความต้องการใช้พลังงานทุกประเภท ขณะที่ความต้องการใช้น้ำมันอยู่ที่ 35% ขณะที่แนวโน้มราคาปิโตรเคมี เป็นทิศทางขาลง โดยล่าสุด 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา ส่วนต่างของราคาผลิตภัณฑ์กับราคาขาย (สเปรด) ลดลง และแนวโน้มไตรมาส 4/2550 ก็น่าจะยังลดลงอีก

สำหรับราคาเหล็กปีหน้าคาดว่าจะปรับตัวขึ้นไปอีก 30% แต่ผู้ประกอบการไทยส่วนใหญ่จะไม่ได้รับผลดี เพราะผู้จำหน่ายถูกทางราชการควบคุมเพดานราคา ขณะที่การส่งออกเหล็กก็จะติดปัญหาเรื่องค่าระวางเรือที่มีราคาสูงอีก ด้านราคาสินค้าเกษตรก็มีแนวโน้มจะยังปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากปัจจุบันมีกลุ่มเฮดจ์ฟันด์ เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในกลุ่มนี้สูงขึ้น

"ที่ผ่านมา หลังจากทั่วโลกประสบปัญหาซับไพร์มของสหรัฐ บรรดากองทุนส่วนใหญ่หันมาลงทุนในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์แทนเพื่อลดความเสี่ยงในการลงทุน ส่งผลให้หุ้นกลุ่มนี้ได้รับผลดีไปด้วย ทำให้หุ้นกลุ่มพลังงาน ปิโตรเคมี ทองคำ โรงกลั่น สินค้าเกษตร ปรับตัวสูงขึ้นมาก และตราบใดที่เศรษฐกิจจีนยังเติบโต เงินลงทุนยังไหลเข้าในภูมิภาคนี้ต่อเนื่อง แต่ถ้าจีนเกิดปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจจะทำให้มีการบริโภคน้ำมันลดลง ส่งผลให้ราคาน้ำมันถูกลง ก็เชื่อว่าจะทำให้หุ้นกลุ่มพลังงานของไทยจะได้รับผลกระทบไปด้วย เช่นหุ้น ปตท.ราคาน่าจะปรับตัวลดลง แต่อุตสาหกรรมผลิตไม่ว่าจะเป็นปูนซีเมนต์ไทย หรือ การบินไทย ที่มีการใช้น้ำมัน ก็อาจจะกลับมาทำกำไรได้อย่างมหาศาลได้อีกครั้ง

ปัจจุบันตลาดหุ้นไทยเป็นตลาดที่อิงกับสินค้าโภคภัณฑ์ เพราะกำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนกว่า 50% อยู่ในกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ และเมื่อแนวโน้มราคาสินค้ากลุ่มนี้สูงขึ้น น่าจะช่วยสนับสนุนให้อัตราเติบโตกำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนในปีหน้าเติบโตไม่ต่ำกว่า 11%

ขณะที่ปัจจัยการเมือง กลับเข้าสู่ภาวะปกติ น่าจะส่งผลให้ภาพรวมเศรษฐกิจดีขึ้น ขณะเดียวกันคาดว่าแนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นไทยจะมีโอกาสปรับตัวขึ้นไปยืนที่ระดับ 1,000 จุดได้ภายในปีหน้า ขณะที่ภายในสิ้นปีนี้จะอยู่ที่ 900 จุด เนื่องจากนักลงทุนน่าจะเข้ามาเก็งกำไรเรื่องของอัตราดอกเบี้ยในช่วงปลายปีอีกครั้ง

เป็นที่แน่นอนว่าการปรับขึ้นของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ก็ย่อยมจะทำให้สินค้ามีราคาแพง และเมื่อสินค้ามีราคาแพงก็นำมาสู่ภาวะเงินเฟ้อในที่สุด แม้ในปีหน้าดัชนีตลาดหลักทรัพย์จะทะลุ 1 พันจุดได้ แต่จะมีประโยชน์อะไรถ้าหากตัวเลขอัตราเงินเฟ้อพุ่งสูงแซงหน้าการเติบโตของ GDP เพราะนั่นหมายถึงว่าเศรษฐกิจแท้จริงของประเทศไทยจะติบลบ และถ้าเป็นเช่นนั้นจริง มันก็จะส่งผลให้หลายคนในประเทศนี้ต้องเผชิญกับความยากลำบากยิ่งขึ้น   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us