การเปิดตัว "มาสเตอร์ไลน์" ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ให่ของลีเวอร์ไทยในช่วงที่ผ่านมาได้กลายเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงแนวโน้มในการบุกตลาดอย่างจริงจังของลีเวอร์ไทยในรอบทศวรรษว่า
นับจากนี้ต่อไปลีเวอร์ไทยที่สร้างฐานอันมั่นคงมาจากสินค้าผงซักฟอกและเครื่องใช้ส่วนตัวได้หันมาเดินตามนโยบายยูนิลีเวอร์แล้ว
คือ อุตสาหกรรมอาหาร ซึ่งรายได้ต่อปีของยูนิลีเวอร์กว่า 50% มาจากส่วนนี้
วิโรจน์ ภู่ตระกูล ผู้นำคนสำคัญของลีเวอร์ไทย กล่าวกับ "ผู้จัดการ"
ว่า เมื่อ 40 ปีก่อน ลีเวอร์เริ่มต้นด้วยการบุกตลาดผงซักฟอก ซึ่งเป็นสินค้าที่มีมาร์จินสูงมาก
แต่เมื่อทำไปได้ระยะหนึ่งมาร์จินของสินค้ากลับตำลงเรื่อย จนในที่สุดไม่มีกำไรจากการขายสินค้าชนิดนี้เลย
และเมื่อ 15 ปีที่ผ่านมา ลีเวอร์ไทยก็ได้เข้าสู่ตลาดเครื่องใช้ส่วนตัวประเภทสบู่
แชมพูสระผม มาร์จินของสินค้าเหล่านี้ก็มีกำไรอย่างงดงามเข้ามาทดแทนผงซักฟอกได้
แต่ในปัจจุบันมาร์จินได้เปลี่ยนแปลงเป็นในทางกลับกัน คือ ต่ำลง ขณะเดียวกันตลาดมีการแข่งขันกันสูง
ค่าการตลาดจะหมดไปกับการทำโปรโมชั่นอย่างมากมายจนกลายเป็นตัวฉุดรั้งให้ผลกำไรที่ได้รับน้อยลงด้วย
ดังนั้น ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ลีเวอร์ไทยจึงได้หันเข้าสุ่อุตสาหกรรมอาหารบ้าง
ซึ่งธุรกิจแนวนี้ยูนิลีเวอร์ประสบความสำเร็จอย่างงดงามมาแล้ว โดยการนำไอศครีม
"วอลล์" เข้าสู่ตลาดไอศครีม 1,300 ล้านบาท สามารถสร้างแรงกระตุ้นตลาดให้ตื่นตัวอย่างเห็นได้ชัด
ทั้งนี้ อาจจะเป็นเพราะว่าการทุ่มงบโปรโมชั่นอย่างมากมายเพื่อเป้าหมายในการแย่งชิงส่วนแบ่งตลดาจากผู้นำตลาดเก่า
หรืออาจจะเป็นเพราะตลาดยังมีช่องว่างอีกมากมายพอที่จะแทรกเข้าต่อกรก็ตาม
"จากปี '32 เป็นปีแรกที่เข้าสู่ตลาดไอศครีม วอลล์มีกำลังการผลิต 5
ล้านลิตร แต่เมื่อขึ้นปีที่ 2 ต้องขยายกำลังการผลิตเพิ่มเป็น 11 ล้านลิตร
เพราะการขยายตัวของตลาดอันเนื่องมาจากพฤติกรรมผู้บริโภคที่ให้การยอมรับในสินค้าไอศครีมเปลี่ยนไป
ผลจากการเติบโตของตลาดจึงทำให้วอลล์ต้องขยายกำลังการผลิตเพิ่มเป็น 25 ล้านลิตรเพื่อสนองตอบความต้องการของผู้บริโภค"
วิโรจน์อธิบายถึงการขยายตัวอย่างรวดเร็วของอุตสาหกรรมอาหารที่ลีเวอร์ไทยตัดสินใจเข้าสุ่ตลาดนี้
โดยการนำตัวแรกเข้าทดสอบตลาดและเป็นมาตรฐานวัดการตัดสินใจที่จะเดินหน้าต่อไปในสายอาหารหรือไม่
วิโรจน์ยอมรับว่า มาร์จินในสายอาหารมีสูงมาก จึงกลายเป็นจุดที่น่าสนใจและถือเป็นตัวกำหนดที่สามารถนำมาซึ่งการตัดสินใจได้อย่างมั่นคง
ปัจจุบัน วิโรจน์อายุ 57 ปี เขาเคยเกษียณอายุมาแล้วครั้งหนึ่งเมื่ออายุ
55 ปี และได้รับการไว้วางใจจากยูนิลีเวอร์ให้เป็นผู้นำลีเวอร์ไทยต่อไปด้วยการต่อเกษียณอายุให้เป็นเทอม
มีเวลาเทอมละ 2 ปี จึงมีการทบทวนพิจารณากันอีกครั้ง วิโรจน์จึงใช้เวลาที่เหลืออยู่ในลีเวอร์ไทยสร้างผลกำไรให้เติบโตงอกงามตามที่ได้รับความไว้วางใจ
ปีที่ผ่านมา ลีเวอร์ไทยมียอดขายประมาณกว่า 5,000 ล้านบาท ปีนี้เขาตั้งเป้าไว้ถึง
7,000 ล้านบาท และในอีก 3 ปีข้างหน้า ลีเวอร์ไทยจะมียอดถึง 10,000 ล้านบาทเลยทีเดียว
จากรายได้ต่อปีที่ลีเวอร์ไทยได้แสดงความสามารถให้เป้นที่ประจักษ์แก่ยูนิลีเวอร์จนได้ชื่อว่าทำรายได้สูงสุดในโซนเอเชียด้วยกัน
เครื่องราชอิสริยาภรณ์จากอังกฤษจึงกลายเป็นรางวัลเกียรติยศที่วิโรจน์ภูมิใจในทุกวันนี้
"แนวการเติบโตของยอดขายของลีเวอร์ฯ จะกำหนดเป็นระยะใช้ช่วงเวลา 5 ปีเป็นเกณฑ์
ดังนั้น ถ้าจะดูว่าลีเวอร์ในอนาคตจะโตเป็นเท่าไรให้ดูได้จากในปีปัจจุบันคูณเข้าไปอีก
2 เท่าเมื่อครบกำหนด 5 ปี"
การที่ลีเวอร์ฯ จะไปให้ถึงดวงดาวตามเป้าหมายที่วางไว้ได้นั้น ลีเวอร์ฯ จะต้องนำสินค้าที่สามารถทำยอดขายและมีกำไรสูงสุดเข้าสู่ตลาด
!!!!
นอกจากนี้ สินค้านั้น ๆ จะต้องเป็นสินค้าที่อยู่นอกเหนือปัญหาความผันผวนตามภาวะเศรษฐกิจของประเทศอีกด้วย
เมื่อสายอาหารกลายเป็นตัวที่โดดเด่นในการนำมาซึ่งรายได้มหาศาล วิโรจน์จึงเลือกที่จะเดินเข้าสู่เส้นทางนี้อย่างเต็มตัว
เขามองว่าตลาดเบเกอรี่เป็นตลาดที่มีศักยภาพสูง และเป็นสินค้าที่มี HIGH MARGIN
ผิดกับสินค้าที่ผ่านมาของลีเวอร์ฯ เช่น ผงซักฟอกที่ ณ วันนี้มีกำลังการผลิตเต็มที่
แถมมาร์จินต่ำพอ ๆ กับสินค้าเครื่องใช้ส่วนตัวที่นับวันตลาดมีการแข่งขันรุนแรงและมาร์จินเริ่มลดลงตลอดเวลา
มาสเตอร์ไลน์เป็นสินค้าเดิมที่ลีเวอร์ไทยผลิตอยู่ในลักษณะของวัตถุดิบ เพื่อใช้ในการทำเบเกอรี่สำเร็จรูป
เช่น มาร์การีน ชอตเทนนิ่ง และน้ำมันพืช เป็นต้น ซึ่งเป้าหมายในปัจจุบัน
คือ การทำธุรกิจที่ครบวงจร คือ การสร้างร้านค้าภายใต้ชื่อ "มาสเตอร์ไลน์"
ความหวังของวิโรจน์ คือ ต้องการจะเห็นการกระจายจุดขายของมาสเตอร์ไลน์ออกสู่ตลาดทั่วประเทศให้ได้
1,000 แห่ง โดยใช้เวลา 2-3 ปีซึ่งพอดีกับเวลาที่เหลืออยู่ของวิโรจน์
นักการตลาดท่านหนึ่งวิเคราะห์ว่า การขายวัตถุดิบของลีเวอร์ (มาสเตอร์ไลน์)
ที่มีมานานนี้ถือเป็น HIDDEN ASSET ที่มีค่าของลีเวอร์ไทยเลยทีเดียว
ร้านเบเกอรี่ทั่วประเทศมีสัดส่วนใน กทม. และต่างจังหวัด พอ ๆ กันจากปริมาณ
1,000 แห่งนี้ ช่องว่างของการขยายตัวเข้าตลาดจึงยังมีอีกมาก ประกอบกับพฤติกรรมผู้บริโภคให้การยอมรับในสินค้าประเภทนี้มากขึ้น
จึงเป็นหนทางที่ลีเวอร์ไทยจะใช้ประโยชน์จากการขายวัตถุดิบมานานแปลงสภาพเป็นสินค้าสำเร็จรูปแข่งขันในตลาด
ปัจจุบัน ศูนย์ฝึกอบรมและร้านเบเกอรี่ที่มีลักษณะเช่นเดียวกับที่ลีเวอร์กำลังทำอยู่นี้
มีอยู่หลายบริษัทด้วยกัน คือ ยูเอฟเอ็มของค่ายเมโทรกรุ๊ป ซึ่งเป็นผู้นำตลาดดั้งเดิมและครบวงจรตั้งแต่วัตถุดิบประเภทแป้ง
อุปกรณ์เครื่องใช้ไปจนถึงโรงเรียนและร้านค้า โดยมีเป้าหมายการขายเฟรนไชส์ยูเอฟเอ็มฟู้ดเป็นธุรกิจล่าสุด
ในขณะที่แหลมทองสหการก็ขายแป้งสาลีที่ใช้ทำขนมและมีโรงเรียนสอนทำขนมเป็นหลักเช่นกัน
แต่ไม่ครบวงจรเหมือนยูเอฟเอ็ม
แม้ว่าลีเวอร์จะส่งมาสเตอร์ไลน์เข้าสู่ตลาดหลังจากความพร้อมเต็มที่ช้ากว่าเจ้าอื่น
ๆ ในตลาดก็ตาม แต่เพราะความเป็นลีเวอร์ฯ ที่วิโรจน์เชื่อว่า เขามีจุดเด่นในการสร้างชื่อจนกลายเป็นจุดแข็งของมาสเตอร์ไลน์ไปเลยก็ว่าได้
นอกเหนือจากศูนย์ฝีกอบรม เพราะรายอื่น ๆ ยังไม่สามารถวิวัฒนาการเทคโนโลยได้ถึงขั้นนี้
คือ เบเกอรี่แช่แข็ง
การผลิตเบเกอรี่แช่แข็งขึ้นมาจนกลายเป็นจุดขายของมาสเตอร์ไลน์นี้ ลีเวอร์ไทยได้คำนึงถึงปัญหาของร้านค้าเป็นหลักว่า
ส่วนใหญ่จะขาดช่างทำขนมผู้ชำนาญงานและแรงงานหายาก การจะทำผลิตภัณฑ์เบเกอรี่หลาย
ๆ ชนิดจำหน่ายจึงเป็นเรื่องยุ่งยากและไม่สามารถควบคุมคุณภาพและความอร่อยได้สม่ำเสมอ
เบเกอรี่แช่แข็งจึงกลายเป็นทางออกที่สำคัญของร้านค้าที่เพียงแค่นำเบเกอรี่แช่แข็งไปอบเท่านั้นก็จะได้เบเกอรี่สำเร็จรูปออกวางจำหน่ายได้
วิโรจน์กล่าวว่าวิธีนี้จะสามารถลดภาระและอำนวยความสะดวกให้กับร้านค้าได้ดีทีเดียว
ปัจจุบันลีเวอร์ไทยมีสินค้าที่อยู่ในตลาด 9 กลุ่มสินค้า คือ ผงซักฟอก สบู่
ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด ผลิตภัณฑ์ที่ใช้กับฟัน แชมพูสระผม โลชั่น ไอศครีม เครื่องดื่ม
ล่าสุดคือ เบเกอรี่
คนในลีเวอร์ไทยต่างคาดหวังกันว่า ยูนิลีเวอร์จะต่ออายุเกษียณของผู้นำลีเวอร์ไทยอีกครั้งเมื่อครบกำหนดเพราะวิโรจน์
ภู่ตระกูล ไม่แต่เฉพาะจะเป็นผู้นำองค์กรคนสำคัญของลีเวอร์ไทยเท่านั้น ชื่อเสียงและหน้าตาของวิโรจน์ยังได้กลายเป็น
"โลโก" ประจำบริษัทไปอีกด้วย เพราะความเป็นลูกหม้อเก่าแก่มากว่า
40 ปี
"ผมตั้งใจจะนำลีเวอร์ไทยให้ก้าวไกลและเติบโตตามเป้าหมายให้ได้ก่อนที่จะเดินออกไป"
วิโรจน์กล่าวถึงเป้าหมาย