Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน13 พฤศจิกายน 2550
พิษซับไพรม์ลามหุ้นถึงQ4             
 


   
search resources

Stock Exchange




ตลาดหุ้นทั่วโลกร่วงระนาวหลังตลาดหุ้นจีนโดยขายทิ้งทำกำไรอย่างหนัก ด้านดาวโจนส์ทรุดรับข่าวธนาคารสหรัฐฯ เตือนไตรมาส4/50 ส่อขาดทุนเพิ่มจากพิษซับไพรม์ ขณะที่ตลาดหุ้นไทยรูดต่อ 13 จุดฝรั่งขายเพิ่ม 4.5 พันล้านบาท "ปกรณ์" ชี้ราคาน้ำมันพุ่งเพราะนักลงทุนแห่งเก็งกำไร โบรกฯ เตือนเงินนอกจ่อขายเพิ่ม ด้านค่าเงินบาทแข็งค่าสุดในรอบ 3 เดือน

ภาวะการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์วานนี้ (12 พ.ย.) ดัชนีปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงตามตลาดหุ้นต่างประเทศ ขณะที่ตลาดหุ้นไทยโดนแรงกระหน่ำขายหุ้นในกลุ่มพลังงานออกมา หลังผลการดำเนินงานไตรมาส3/50 ไม่ดีเหมือนราคาหุ้นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างที่หลายฝ่ายคาดการณ์จนส่งผลทำให้ดัชนีปรับตัวลดลงมาปิดที่ 861.93 จุด ลดลง 12.71 จุด หรือ 1.45% โดยจุดสูงสุดของวันอยู่ที่ 865.64 จุดและจุดต่ำสุดอยู่ที่ 856.64 จุด มูลค่าการซื้อขายเพียง 16,341.77 ล้านบาท

นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 4,541.81 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 451.32 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 4,090.49 ล้านบาท ขณะที่ตั้งแต่ 1 พ.ย.-12 พ.ย.นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิแล้ว 16,855.87 ล้านบาท

นายปกรณ์ มาลากุล ณ อยุธยา ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) กล่าวว่า ราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นจนใกล้ระดับ 100 เหรียญดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลน่าจะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพียงระยะสั้นๆเท่านั้น โดยสาเหตุหลักมาจากการเข้ามาเก็งกำไรของนักลงทุนที่ค่อนข้างกังวลต่อสถานการณ์ที่กระทบต่อการปรับขึ้นลงของราคาน้ำมัน

ทั้งนี้ ปัจจุบันอุปสงค์และอุปทานของน้ำมัน ถือว่าอยู่ในระดับใกล้เคียงกันมากเมื่อมีเหตุการณ์ที่ส่งผลต่อความต้องการใช้น้ำมันก็จะส่งผลต่อราคาหุ้นค่อนข้างเร็ว ประกอบกับช่วงนี้ใกล้ช่วงฤดูหนาวรวมทั้งยังมีความกังวลต่อความไม่สงบในตะวันออกกลางยิ่งส่งผลทำให้เกิดการเข้ามาเก็งกำไรจนราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างที่เป็นอยู่

"ราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นส่งผลกระทบต่อตัวเลขเงินเฟ้อ ซึ่งเรื่องดังกล่าวธปท.และคณะกรรมการกนง.ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด"นายปกรณ์กล่าว

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าราคาน้ำมันในปัจจุบันที่สูงจะเกิดขึ้นจากการเก็งกำไร แต่การคาดหวังให้ราคาน้ำมันปรับตัวลดลงมาที่ระดับ 40-50 เหรียญดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลเป็นเรื่องที่ยากมาก

โบรกฯเตือนหุ้นส่อรูดต่อ

นายแสงธรรม จรณชัยกุล ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์(บล.) ธนชาต จำกัด กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงตามตลาดหุ้นต่างประเทศ รวมถึงความกังวลต่อเนื่องจากกรณีที่ตลาดหุ้นดาวโจนส์ปรับตัวลดลงเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา

นอกจากนี้ ผลการดำเนินงานของบริษัทขนาดใหญ่อย่างปตท.ที่ประกาศออกมาแม้ว่าจะอยู่ในระดับใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมาแต่ถือว่าต่ำกว่าที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้ โดยงวด 9 เดือนกำไรสุทธิลดลงราว 8% จากงวดปีก่อน ในขณะที่ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่า 75% ซึ่งส่งผลทำให้มีแรงเทขายทำกำไรออกมาอย่างหนักหลังประกาศงบการเงิน

สำหรับการลงทุน ระวังการไหลออกของเงินทุนจากต่างประเทศ จากสาเหตุกลุ่มนักลงทุนเก็งกำไรต้องการป้องกันความเสี่ยงเนื่องจากค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลงในขณะที่ค่าเงินเยนแหล่งเงินกู้กลับแข็งค่าขึ้น โดยกรอบความเคลื่อนไหวดัชนีในวันนี้คาดแนวรับที่ 850-857 และแนวต้านที่ 880 จุด

นางสุภากร สุจิรัตนวิมล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.เคทีบี กล่าวว่า ตลาดหุ้นในภูมิภาคส่วนใหญ่ปรับตัวลดลงประมาณ 2-3% ขณะที่ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงประมาณ 1% โดยการปรับตัวลดลงในช่วงนี้เป็นไปตามเทรนการปรับตัวลดลงคล้ายกับตลาดหุ้นในต่างประเทศ โดยหากดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงหลุด 860 จุดก็อาจจะไหลมาบริเวณ 850 จุด แต่หากสามารถรีบาวน์ขึ้นได้ก็จะไปทดสอบดัชนีที่ 870 จุดอีกครั้ง

"ตอนนี้ทุกตลาดเจอแรงขายทำกำไรออกมา เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติต้องการลดสัดส่วนการถือครองสินทรัพย์ให้น้อยลงเพื่อป้องกันความเสี่ยงทำให้เป็นเรื่องยากที่ดัชนีจะปรับตัวเพิ่มขึ้นได้"นางสุภากรกล่าว

หุ้นเอเชียร่วงรับตลาดวอลล์สตรีท

ขณะที่ตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชีย ต่างพากันปรับตัวลดลงกันระนาวตามตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยดัชนีสเตรทส์ไทม์ สิงคโปร์ ร่วงลง 85.55 จุด หรือ 2.5% ปิดที่ระดับ 3,511.12 จุด มูลค่าการซื้อขาย 2.74 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ โดยดัชนีที่ปรับลงครั้งนี้ส่งผลให้ดัชนีสเตรทส์ไทม์ร่วงลงใกล้ระดับต่ำสุดในรอบ 2 เดือน

ส่วนดัชนีนิกเกอิ ของญี่ปุ่น ปิดที่ 15,197.09 จุด ลดลงจากวันก่อน 386.33 จุด หรือคิดเป็น 2.48%

ดัชนีฮั่งเส็ง ฮ่องกง ปิดที่ 27,665.73 จุด ลดลงจากวันก่อนหน้า 1,117.68 จุด หรือ 3.88% โดยดัชนีหลักขยับลงมากที่สุดในวันเดียวทำสถิติเป็นอันดับที่สองในรอบปีนี้ และทรุดลงมากสุดเป็นอันดับ 7 ในประวัติศาสตร์ อันเป็นผลมาจากตลาดหุ้นวอลล์สตรีทและตลาดหุ้นจีนที่ร่วงลงอย่างหนักจนทำให้เกิดการเทขายทำกำไรทั่วทั้งกระดาน

ด้านความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นดาวโจนส์ เมื่อวันศุกร์ที่ 9 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ปรับตัวลดลง 223.55 จุด หรือคิดเป็น 1.69% ปิดที่ระดับ 13,042.74 จุด ขณะที่ ดัชนีสแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ ปิดที่ 1,453.70 จุด ลดลง 21.07 จุด หรือ 1.43% และดัชนีแนสแดค ปิดที่ 2,627.94 จุด ลดลง 68.06 จุด หรือ 2.52% โดยปัจจัยหลักที่เข้ามากระทบตลาดหุ้นวอลล์สตรีท คือ การที่ธนาคารสหรัฐฯ ประกาศเตือนว่า อาจประสบกับภาวะขาดทุนอีกในช่วงไตรมาสที่ 4 จากหนี้เสียที่มีอยู่ในระบบอันเกิดจากผลกระทบจากสินเชื่อด้านอสังหาริมทรัพย์ (ซับไพรม์) แต่ไม่ได้ระบุชัดเจนว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นจะมากหรือน้อยเพียงใด

"ประเด็นดังกล่าวทำให้นักลงทุนกังวลว่าธุรกิจในภาคส่วนอื่นๆ อาจได้รับผลกระทบตามไปด้วย รวมถึงการชะลอตัวทางเศรษฐกิจที่รุนแรงภายในช่วงปลายปีนี้"

บาทแข็งค่าสุดรอบ 3 เดือน

นักบริหารเงินจากธนาคารพาณิชย์เปิดเผยว่า วานนี้ (12 พ.ย.) เงินบาทปิดตลาดที่ระดับ 33.84/86 บาท/ดอลลาร์ แข็งค่าขึ้นเล็กน้อยจากช่วงเช้าที่เปิดตลาดที่ระดับ 33.87/90 บาท/ดอลลาร์ เงินบาทเคลื่อนไหวในทิศทางแข็งค่าค่อนข้างผันผวน อย่างไรก็ตามเป็นตามสกุลเงินในภูมิภาค โดยอ่อนค่าสุดที่ระดับ 33.85 บาท/ดอลลาร์ และแข็งค่าสุดที่ระดับ 33.80 บาท/ดอลลาร์ คาดว่าธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) จะเข้ามาแทรกแซงค่าเงินบาทบ้าง

"เช้าวานนี้เงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนลงต่ำสุดในรอบ 18 เดือนเมื่อเทียบกับเงินเยน โดยเงินเยนเปิดตลาดที่ระดับ 110.23 เยน/ดอลลาร์ เขาระบุถึงความเคลื่อนไหวค่าเงินบาทในช่วงเช้าของวานนี้ หลังเปิดตลาดค่าเงินบาทปรับตัวแข็งค่าต่อเนื่อง โดยขึ้นไปแตะที่ระดับ 33.80บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ สูงสุดในรอบ 3 เดือนเมื่อเทียบกับต้นเดือน ส.ค.ที่ผ่านมา สวนทางค่าเงินเอเชียที่อ่อนตัว"

ส่วนสกุลเงินต่างประเทศช่วงปิดตลาด เงินเยนแข็งค่าขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 110.33/36 เยน/ดอลลาร์ เช่นเดียวกับยูโรที่แข็งค่ามาอยู่ที่ระดับ 1.4596/99 ดอลลาร์/ยูโร ซึ่งเป็นผลมาจากการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์จากที่ตลาดคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) จะพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกในการประชุมวันที่ 11 ธ.ค.นี้ และคาดว่า วันนี้เงินบาทยังคงแข็งค่าต่อเนื่อง โดยเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 33.80-33.95 บาท/ดอลลาร์

นางผ่องเพ็ญ เรืองวีรยุทธ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายตลาดการเงินและบริหารเงินสำรอง ธปท. เปิดเผยถึงค่าเงินบาทที่แข็งค่าสุดในรอบ 3 เดือนว่า การเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทยังเป็นปกติ เท่าที่ ธปท.ตรวจสอบค่าเงินบาทแข็งค่าสุดยังเป็นช่วงเดือนก.ค.ที่ผ่านมา แตะที่ระดับ 33.17 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ

"ช่วงนี้ที่ค่าเงินบาทแข็งค่ามาก เนื่องจากผู้ส่งออกที่เป็นคนไทยมีการเทขายเงินเยนของญี่ปุ่นมากขึ้นจากการที่ค่าเงินเยนแข็งค่ามาก ทำให้เมื่อแลกเป็นสกุลเงินบาทมีรายได้มากขึ้น"

ส่วนกรณีที่เงินทุนสำรองสุทธิล่าสุดวันที่ 2 พ.ย.ที่ผ่านมาโดยปริมาณเงินสำรองระหว่างประเทศอยู่ที่ 82,600 ล้านเหรียญสหรัฐ และมีฐานะสุทธิสัญญาซื้อขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า 17,700 ล้านเหรียญสหรัฐ ทำให้มีปริมาณเงินสำรองระหว่างประเทศสุทธิ 100,300 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อนถึง 1,100 ล้านเหรียญสหรัฐ นั้น นางผ่องเพ็ญ กล่าวว่า ปริมาณทุนสำรองที่เพิ่มขึ้นส่วนหนึ่งไม่ได้เกิดจากการซื้อเงินเหรียญสหรัฐ เพื่อดูแลค่าเงินบาทแข็งค่าเพียงอย่างเดียว แต่เป็นเพราะมูลค่าของสกุลเงินตราต่างๆประเทศอื่นที่ถือไว้ในทุนสำรองมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเมื่อตีค่าเป็นเงินเหรียญสหรัฐ

“ทุนสำรองเราไม่ได้ถือเงินเหรียญสหรัฐอย่างเดียว ฉะนั้นสกุลอื่นที่ถืออยู่ก็เพิ่มขึ้นเมื่อตีเป็นเงินเหรียญสหรัฐ เพราะเงินเหรียญสหรัฐอ่อนค่า แต่เราถือเงินเหรียญสหรัฐในสัดส่วนเท่าไรคงเปิดเผยไม่ได้ แต่ธปท.ได้มีการลดสัดส่วนการถือครองเงินเหรียญสหรัฐในทุนสำรองมาตั้งแต่ต้นปี 2545 แล้ว ส่วนจะบริหารทุนสำรองอย่างไรก็ต้องขึ้นอยู่กับการแก้ไขร่าง พ.ร.บ.เงินตรา ว่าจะให้บริหารทุนสำรองรูปแบบใด แต่ปีนี้ยืนยันได้ว่าผลกำไรจากการบริหารทุนสำรองออกมาค่อนข้างดี ถ้าคิดในรูปเงินเหรียญสหรัฐ แต่ถ้าคิดในรูปเงินบาทคงไม่ค่อยดีนักเพราะค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นถึง 6%”

นางอมรา ศรีพยัคฆ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจในประเทศ ธปท. กล่าวว่า นโยบายในการดูแลอัตราแลกเปลี่ยนของแต่ละประเทศว่าควรใช้ระบบใด ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมและเป้าหมายในการดูแลเศรษฐกิจของแต่ละประเทศเป็นสำคัญ ซึ่งปัจจุบันธปท.จะให้ความสำคัญการดูแลเงินเฟ้อผ่านกลไกอัตราดอกเบี้ยเป็นประเด็นหลักมากกว่าที่จะกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนแบบตายตัว ดังนั้น ในมุมมองส่วนตัวมองว่าไม่จำเป็นที่ประเทศขนาดเล็กจะต้องใช้อัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่แล้วเชื่อว่าดีกว่าอัตราดอกเบี้ยแบบลอยตัวที่ธปท.ดำเนินอยู่

“ในอดีตไทยเคยใช้นโยบายอัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่มาแล้ว การจะหันกลับไปใช้คงที่อีกอาจจะไม่เหมาะ ซึ่งการดูแลให้ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวตามกลไกตลาดก็มีข้อดี แม้ว่าอัตราแลกเปลี่ยนจะเป็นต้นทุนแต่ก็ต้องดูต้นทุนอื่นๆด้วย เช่น ปัจจุบันการที่ต้นทุนจากน้ำมันราคาสูงขึ้นเรื่อยๆแต่การที่ไทยใช้นโยบายอัตราแลกเปลี่ยนลอยตัว ซึ่งทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นตามตลาดก็ช่วยให้ราคาขายปลีกน้ำมันไม่ปรับตัวสูงขึ้นมากได้”

ฉลองภพเชื่อ ศก.ปีนี้โตได้ 4.5%

นายฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยในปีนี้ยังขยายตัวได้ในระดับ 4.5% ขณะที่มองว่าปี 51 จะสามารถขยายตัวได้เกินกว่า 5% หากภาวะเศรษฐกิจไม่เลวร้ายไปกว่านี้ แม้ว่าราคาน้ำมันจะปรับเพิ่มสูงขึ้น แต่อัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับต่ำ และยังเชื่อว่ามาตรการของทางการที่ใช้อยู่สามารถดูแลอัตราเงินเฟ้อในช่วง 6 เดือนข้างหน้าได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้ การเตรียมปรับตัวเลขอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ(GDP) ของไทยในเดือน พ.ย.นี้ เป็นเรื่องที่หน่วยงานต่างๆ ต้องคาดการณ์กันตามสมมติฐาน ซึ่งหากราคาน้ำมันยังคงทรงตัวอยู่ในระดับที่ไม่มากขึ้นไปกว่านี้หรือปรับลดลงก็เชื่อว่าจะไม่มีผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศมากนัก

"ปีหน้าแรงกระตุ้นเศรษฐกิจจะมาจากภาคการลงทุนเป็นหลักซึ่งจะเข้ามาช่วยทดแทนภาคการส่งออก แต่ทั้งนี้ยังเชื่อว่าภาคการส่งออกปีนี้จะโตได้ 14-15% ซึ่งอาจสูงกว่าเป้าที่คาดไว้ที่ 12.5% ส่วนปีหน้าหากการส่งออกโตได้ถึง 10% ก็จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้ขยายตัวเพิ่มขึ้นได้"

ส่วนภาวะราคาน้ำมันในขณะนี้ได้ส่งผลกระทบต่อทั้งโลก แต่ในส่วนของไทยที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานยังอยู่ในระดับต่ำที่ 1% กว่า ทำให้ประเทศไทยมีโอกาสรับมือกับราคาน้ำมันได้ดีกว่าหลายประเทศ แต่สถานการณ์ราคาน้ำมันยังจำเป็นต้องติดตามต่อไปอย่างใกล้ชิด อย่างไรก็ดี จากแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่อาจจะชะลอตัวจากปัญหาซับไพรม์ของสหรัฐ แต่ยังเชื่อว่าความต้องการใช้น้ำมันจะขยายตัวได้ไม่สูงมากนักซึ่งจะมีผลให้ราคาน้ำมันไม่ปรับสูงขึ้นมากได้

รมว.คลังมั่นใจว่า จากนโยบายการเงินที่ใช้ในปัจจุบันเชื่อว่ายังสามารถรับมือกับอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานให้อยู่ในกรอบที่ 0-3.5% ได้ต่อไปอีก 6 เดือน ซึ่งทำให้ทางการไม่จำเป็นต้องใช้นโยบายการเงินที่ตึงตัวมากนัก และยิ่งภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัวเช่นนี้ก็อาจจะทำให้ราคาน้ำมันไม่ปรับสูงขึ้นมาก โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในขณะนี้อยู่ที่ประมาณ 3% เนื่องจากผลพวงของราคาน้ำมันที่มีผลทำให้ราคาสินค้าปรับตัวสูงขึ้น ดังนั้นทางการโดยเฉพาะกระทรวงพาณิชย์จะต้องเขาไปดูแลไม่ให้มีการฉวยโอกาสปรับขึ้นราคาสินค้าตามราคาน้ำมันที่ปรับสูงขึ้น   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us