|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
แบงก์ชาติมีแนวโน้มขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนลดลงเหลือเพียง 7.5 หมื่นล้านบาท จากปีที่ผ่านมาขาดทุนสูงและเดิมคาดว่าปีนี้จะขาดทุนอีก 1.2 แสนล้านบาท เผยขาดทุนลดลงหลังมีการลดสัดส่วนถือครองเงินดอลลาร์สหรัฐและเพิ่มสัดส่วนเงินยูโร-สกุลอื่นมากขึ้น บิ๊ก สศค.ค้าน พ.ร.บ.สถาบันการเงินให้อำนาจแบงก์ชาติปิดแบงก์ หวัง สนช.แก้ไข เพราะคลังต้องแบกหนี้เพียงผู้เดียว
นายโชติชัย สุวรรณาภรณ์ ผู้อำนวยการส่วนนโยบายระบบการเงิน สำนักนโยบายระบบการเงิน สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยว่า การดำเนินงานของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)ในปี 2550 นี้ คาดจะมีผลการดำเนินงานขาดทุนจากการบริหารนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนเป็นจำนวนเงินถึง 75,000 ล้านบาท แม้จะค่อนข้างสูงแต่ถือว่าขาดทุนน้อยกว่าปี 2549 ที่ผ่านมา
สาเหตุหลักมาจาก ธปท.มีการปรับโครงสร้างสัดส่วนการถือครองสินทรัพย์ต่างประเทศที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ซึ่งเดิมมีสัดส่วนถือครองสินทรัพย์ในรูปเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ ในอัตราที่สูง แต่ในปีนี้ได้ปรับลดสัดส่วนการถือครองเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ ลงมาเหลือประมาณ 55-58% แล้วหันมาเพิ่มสินทรัพย์ในรูปของเงินตราสกุลยูโรและเงินตราสกุลอื่นๆ แทน
ซึ่งคาดจะมีการถือครองเงินตราสกุลอื่นๆ นอกจากเงินตราสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ อยู่ในสัดส่วนประมาณ 45% จึงทำให้ผลการขาดทุนจากเดิมที่คาดว่าจะมีการขาดทุนสูงถึง 120,000 ล้านบาท ก็มีแนวโน้มว่าผลการขาดทุนจะปรับลดลงมามาก โดยเป็นผลจากเงินสกุลยูโรและเงินสกุลอื่นๆ ทั่วโลกได้ปรับตัวแข็งค่ามากกว่าเงินเหรียญสหรัฐ
ทั้งนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทยรายงานทุนสำรองระหว่างประเทศ ณ วันที่ 2 พ.ย.ว่า อยู่ที่ 82,600 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มจากสัปดาห์ก่อน 200 ล้านเหรียญสหรัฐ
นโยบายการลดการถือครองดอลลาร์ลงเป็นทิศทางของธนาคารกลางทั่วโลก ได้แก่ จีนที่มีเงินสำรองระหว่างประเทศมหาศาล ได้ออกมายอมรับว่าต้นเดือน ต.ค.ที่ผ่านมาทยอยลดสัดส่วนเงินดอลลาร์ลง 6 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ญี่ปุ่นก็เทขายเงินสำรองในรูปเงินดอลลาร์ไปแล้วกว่า 2 แสนล้านเหรียญ เช่นเดียวกับเวียดนามที่มีการลดสัดส่วนการถือเงินดอลลาร์ลดให้เหลือไม่เกิน 50% ขณะที่ประเทศไทย ที่ผ่านมาเน้นการเข้าแทรกแซงและออกมาตรการ (30%) แต่เงินบาทตั้งแต่ปลายปี 49 แข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ล่าสุดค่าเงินบาทไทยเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐยังแข็งค่าขึ้นที่ระดับ 5% นับตั้งแต่ต้นปี ขณะที่ค่าเงินสกุลอื่นๆ ในภูมิภาคเทียบ ส่วนใหญ่แข็งค่าน้อยกว่าเงินบาทของไทย อย่างไรก็ตาม ถ้ามองในแง่ภาพรวมพบว่าแนวโน้มค่าเงินบาทดีขึ้น เนื่องจากถ้าเทียบกับทั้งปี 49 ค่าเงินบาทของไทยเคยแข็งค่าทุบสถิติของทุกประเทศในเอเชียที่ 13.8%
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา นายศุภวุฒิ สายเชื้อ กรรมการผู้จัดการ หัวหน้าฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ ภัทร จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า โดยเม็ดเงินที่ ธปท. นำไปเข้าแทรกแซงค่าเงินบาทเพื่อช่วยธุรกิจส่งออกเพียงแค่ช่วงเวลา 2 เดือนที่ผ่านมามีการแทรกแซงโดยใช้เงินกว่า 1 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ นายศุภวุฒิมองว่า การเก็บเงินดอลลาร์เข้ามาเพื่อพยุงค่าเงินในขณะที่ดอลลาร์อ่อนค่าลงไปเรื่อยๆ ไม่ได้เป็นเรื่องที่ถูกต้องนักเพราะภาระผลขาดทุนจะเกิดขึ้นอย่างไม่หยุดเนื่องจากแนวโน้มการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์
คลังหวั่นอำนาจ ธปท.ล้นฟ้า
นายโชติชัยกล่าวถึงการพิจารณาร่างแก้ไขพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) สถาบันการเงินและ พ.ร.บ.ธนาคารแห่งประเทศไทย ของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ซึ่งขณะนี้อยู่ในขั้นแปรญัตติของกรรมาธิการ ว่า อยากให้ สนช.ได้พิจารณาถึงอำนาจของ ธปท. ในส่วนของพ.ร.บ.สถาบันการเงิน เนื่องจากมีการเสนอให้ ธปท.มีอำนาจแต่เพียงผู้เดียวในการสั่งปิดสถาบันการเงิน แต่เห็นควรให้เป็นอำนาจตัดสินใจร่วมกันกับกระทรวงการคลัง เพราะในคราวเกิดวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 หลัง ธปท.สั่งปิดสถาบันการเงิน ความเสียหายที่เกิดขึ้นกระทรวงการคลังต้องเป็นผู้รับผิดชอบ
"ที่ผ่านมาแบงก์ชาติเสนอปิดแบงก์พาณิชย์ให้กระทรวงการคลังเซ็นอนุมัติ กระทรวงการคลังก็ต้องเซ็นตามที่แบงก์ชาติเสนอไม่มีโอการได้พิจารณาร่วม ทั้งที่ควรจะทำงานร่วมกันเพราะความเสียหายที่เกิดขึ้นกระทรวงการคลังต้องรับผิดชอบ เรื่องแบบนี้คลังไม่ควรเป็นแค่ตรายางอีกต่อไป" นายโชติชัยระบุ
นอกจากนี้ไม่ควรให้อำนาจ ธปท.เป็นผู้อนุมัติผ่อนผันให้นักลงทุนชาวต่างชาติเข้าถือหุ้นในสถาบันการเงินในสัดส่วนเกิน 25% แต่ไม่ถึง 50% เห็นควรให้กระทรวงการคลังเป็นผู้อนุมัติแทน เนื่องจากนโยบายให้ต่างชาติเข้ามาแข่งขันในอุตสาหกรรมที่สำคัญควรเป็นอำนาจรัฐ และรัฐบาลสามารถใช้เป็นเครื่องมือต่อรองในการเจรจาการค้าระหว่างประเทศได้
ส่วนร่างแก้ไข พ.ร.บ.ธปท.เห็นด้วยกับหลักการแยกหน้าที่กำกับตรวจสอบสถาบันการเงินออกจากหน้าที่ของธนาคารกลาง ซึ่งมีหน้าที่หลักดำเนินนโยบายการเงิน นอกจากนี้ไม่ควรระบุตายตัวในกฎหมาย ว่าธปท.มีอำนาจกำกับตรวจสอบสถาบันการเงิน แต่ควรระบุว่าอำนาจอื่นๆ นอกเหนือจากกำหนดนโยบายการเงินให้เป็นไปตามที่ปรากฎในกฎหมายอื่นๆ ที่อาจกำหนดเพิ่มเติมได้ และไม่ควรกำหนดให้ผู้ว่าการธปท. เป็นประธานกรรมการทั้ง คณะกรรมการ ธปท. คณะกรรมการนโยบายการเงิน คณะกรรมการนโยบายสถาบันการเงิน และคณะกรรมการระบบการชำระเงิน เนื่องจากผู้ว่าฯ ธปท.จะมีอำนาจมากเกินไป
|
|
|
|
|