Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ ธันวาคม 2534








 
นิตยสารผู้จัดการ ธันวาคม 2534
สิทธิลาคลอดของ สตรีไทยยังล้าหลัง             
โดย นฤมล อภินิเวศ โสภิดา วีรกุลเทวัญ สุกรานต์ โรจนไพรวงศ์
 

 
Charts & Figures

สิทธิในการลาคลอดของผู้หญิงชาติต่างๆ


   
search resources

Health
สายสุรี จุติกุล
คณะกรรมการส่งเสริมและประสานงานสตรีแห่งชาติ (กสส.)




ระหว่างระยะเวลา 60 วันกับ 90 วันสำหรับการลาคลอดของผู้หญิงดูเหมือนแทบจะไม่มีความแตกต่างเท่าไรนัก แต่ช่องว่างเล็ก ๆ ตรงนี้ก็มีความหมายอย่างยิ่งต่อการวางรากฐานให้กับแต่ละชีวิตที่กำลังเริ่มต้น สายสัมพันธ์ระหว่างแม่ลูกจากความใกล้ชิดและการดูดกินนมจากทรวงอกไม่เพียงแต่จะสร้างคนคนหนึ่งให้มีความสมบูรณ์ขึ้น หรือทำให้สถาบันครอบครัวเข้มแข็งเท่านั้น แต่ยังหมายถึงการเสริมให้สังคมทั้งหมดมีความมั่นคงขึ้นด้วย นอกจากนี้การยอมรับต่อความเปลี่ยนแปลงในเรื่องระยะเวลาเพียงเล็กน้อยนี้ แต่ก็ยังทำให้สภาพการคุ้มครองสิทธิของผู้หญิงและเด็กตลอดจนการให้ค่ากับ "ความเป็นคน" ในประเทศไทยที่ล่าช้ากว่ากาลเวลามานานแล้วได้พัฒนาขึ้นอีกระดับหนึ่ง สำหรับเรื่องการลาคลอดของข้าราชการหญิงแม้ว่ากว่าจะลงเอยได้จะใช้เวลายาวนาน และเป็นการยอมรับในลักษณะที่ไม่สมบูรณ์นักก็ตาม ผลที่ออกมาก็ยังคงคือผลด้านดี

เรื่องโดย สุกรานต์ โรจนไพรวงศ์ นฤมล อภินิเวศ โสภิดา วีรกุญเทวัญ

นับตั้งแต่สายสุรี จุติกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีได้ป่าวร้องประฌามคณะรัฐมนตรีที่มีมติคว่ำข้อเสนอแก้ไขระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับการลาคลอดลงในครั้งแรก การถกเถียงแสดงทัศนะในเรื่องนี้ก็เกิดขึ้นอย่างกว้างขวางและยืดยาวในลักษณะต่าง ๆ กัน

ข้อพิจารณาความหมายและความสำคัญของเรื่องที่ดูเหมือนเล็ก ๆ นี้มีอยู่มากมายและโยงใยกับปัญหาอื่นอีกหลากหลายทั้งเรื่องเล็กและใหญ่ ซึ่งคำถามหลาย ๆ คำถามที่ถูกละเลยหลงลืมก็ได้ปะทุขึ้นให้ไตร่ตรองกันอีกครั้งหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนที่เกี่ยวกับระบบชีวิตและมาตรฐานคุณภาพของสังคมไทย

สิทธิในการลาคลอดของผู้หญิงไทยมีมาตรฐานแยกกันอยู่เป็น 2 ส่วนระหว่างฝ่ายราชการและฝ่ายแรงงาน

ในส่วนของข้าราชการหญิงที่ได้รับการเสนอให้เปลี่ยนแปลงนั้นตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับการคลอดแต่เดิมเปิดโอกาสไว้ว่าให้ลาได้ 60 วันโดยได้รับเงินเดือน แต่ในการลาช่วงเดือนหลังจะต้องมีใบรับรองแพทย์แนบอยู่ด้วย ซึ่งในทางปฏิบัติทั่วไป แพทย์มักจะอนุมัติให้ประมาณ 15 วันนั่นหมายถึงการลาคลอดจริง ๆ มักหยุดอยู่ที่อัตราเวลา 45 วัน แทบจะไม่มีการใช้สิทธิเต็มที่ถึง 60 วันจริง ๆ

ตามหลักทางการแพทย์การฟื้นตัวของสรีระในกรณีของการคลอดเองนั้น ใช้เวลาเพียงประมาณ 2 อาทิตย์มดลูกก็สามารถคืนสู่สภาพปกติอย่างค่อนข้างจะสมบูรณ์แล้วและภายใน 1 เดือนก็นับว่าเพียงพอสำหรับการพักผ่อนให้ร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์หายจากการอ่อนเพลีย ส่วนในกรณีที่ต้องผ่าตัดด้วยก็อาจจะต้องการเวลาทั้งหมดประมาณ 1 เดือนครึ่ง

ประเด็นด้านสุขภาพทางกายของแม่จึงไม่ใช่เหตุผลของการที่ต้องขอเพิ่มการลาหยุดให้นานออกไปถึง 3 เดือน แต่เป้าหมายอยู่ที่การเลี้ยงดูลูกขยายความยาวนานให้แม่กับเลือดเนื้อเชื้อไขของเธอได้มีความใกล้ชิดกันมากขึ้น และเปิดโอกาสสำหรับการให้นมแม่เป็นไปอย่างต่อเนื่องพอเพียงกับความจำเป็น

"ประเด็นที่มักมีการมองก็คือ ด้านสุขภาพของแม่ว่าพร้อมเมื่อไรในการกลับเข้าทำงาน ซึ่งตามความเป็นจริงเวลาลาเท่าที่มีอยู่เดิมก็เพียงพอแล้วสำหรับการพักผ่อนตามที่ร่างกายต้องการ แต่นั่นเป็นการมองในด้านแม่เพียงอย่างเดียว การที่เพิ่มเวลานั้นเพราะเป็นการมองด้านลูกด้วย เพราะลูกจะต้องเจริญเติบโตต่อไปเป็นประชากรของประเทศ" วีระพงษ์ ฉัตรานนท์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญในเรื่องเด็กหรือกุมารเวชศาสตร์และรองอธิบดีมหาวิทยาลัยมหิดลชี้แจงถึงเป้าหมายหลัก

โดยทั่ว ๆ ไปจะเป็นที่รับรู้กันอยู่อย่างดีแล้วว่า ในวัยเด็กนั้นการเติบโตจะดำเนินไปอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง แต่ข้อเท็จจริงอีกประการหนึ่งที่ยังไม่ค่อยเป็นที่รับรู้มากนัก ทั้งที่ได้มีการวิจัยศึกษาแน่ชัดแล้วก็คือ การเจริญเติบโตของคนแต่ละคนนั้นเริ่มต้นวางรากฐานกันมาตั้งแต่เมื่ออยู่ในครรภ์ ส่วนร่ายกายและสมองก็จะมีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วมากที่สุดในระยะระหว่างแรกเกิดจนกระทั่ง 1 ขวบ สิ่งที่ทารกได้รับในช่วงต้นที่สุดของชีวิตจึงเป็นปัจจัยที่สำคัญมากที่สุดที่จะกำหนดคุณภาพของคนคนหนึ่งในระยะยาวและอย่างค่อนข้างจะถาวร

จากสถิติที่กระทรวงสาธารณสุข เคยแสดงไว้ชี้ว่า เมื่อใดเด็กมีอาการเจ็บป่วย น้ำหนักจะลดลง ยิ่งป่วยบ่อยครั้งน้ำหนักก็จะยิ่งลดต่ำกว่ามาตรฐานที่ควรเป็น เพราะการเจ็บป่วยนั้นทำให้การเจริญเติบโตชะงัก อันจะมีผลต่อการพัฒนาทางด้านสรีระและร่างกายอย่างยิ่ง

ทางด้านสมองก็เช่นกัน ช่วงขวบปีแรกคือระยะที่มีระดับการพัฒนาสูงที่สุดรองลงมาได้แก่ขวบปีที่ 2 พ้นจากนั้นแล้วก็เชื่องช้าลงเรื่อย ๆ เมื่อเด็กอายุได้ 6 ปี ขนาดของสมองจะเทียบได้เท่ากับ 5 ใน 6 เท่าของสมองผู้ใหญ่เลยทีเดียว การพัฒนาถ้าไม่ได้เกิดขึ้นตั้งแต่แรกก็จะแก้ไขไม่ได้อีก

นอกจากนี้แล้ว ตามหลักการทางด้านจิตวิทยาพัฒนาการก็ระบุถึงความสำคัญของช่วงวัยเยาว์ไว้อย่างสอดคล้องกัน

อัมพล สูอำพัน รองศาสตราจารย์นายแพทย์หัวหน้าหน่วยจิตวิทยาเด็ก ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้อธิบายว่า ตามหลักการของนักจิตวิทยาชื่อ ERIKSON ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปในแวดวงวิชาการได้ชี้ว่า ช่วงเวลาแห่งการเลี้ยงดูลูกในขวบปีแรก หากเป็นไปด้วยปฏิกิริยาที่ดีด้วยความรัก และด้วยการคลุกคลีใกล้ชิดกับเด็กเหล่านี้จะช่วยปลูกสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจหรือ SENSE OF TRUST ให้เกิดขึ้น อันเป็นบ่อเกิดของการมองโลกในแง่ดี ตลอดจนคุณสมบัติดี ๆ อย่างอื่น ไม่ว่าจะเป็นการโอบอ้อมอารี ความเกื้อกูล ความรับผิดชอบ เพราะคนที่ได้รับการดูแลเอาใจใส่มาอย่างดีด้วยความรักย่อมจะมีความรักที่งดงามอยู่ในจิตใจพร้อมมอบให้กับผู้อื่นและกับสังคมเช่นเดียวกัน

ในทางตรงกันข้าม หากเด็กได้รับการละทิ้งหรือการปล่อยปละละเลยในระหว่างช่วงชีวิตแรกก็จะเกิดฝังใจว่าสังคมไม่ดี แนวโน้มเมื่อเติบโตขึ้นจึงง่ายที่จะกลายเป็นคนมองโลกในแง่ร้าย มีความรู้สึกต่อต้านอยากทำลายสังคม และก็แน่นอนว่าคนที่มีทัศนะเช่นนี้ย่อมไม่อาจที่จะรักคนอื่น แต่สามารถจะฉ้อฉล เอารัดเอาเปรียบ หรือทำร้ายสังคมได้โดยไม่รู้สึกอะไร

"เด็กที่มีจุดเริ่มต้นดี ๆ จะเหมือนก้อนหินก้อนแรที่จะเหยียบขึ้นไปบนก้อนหินก้อนต่อ ๆ ไปอย่างมั่นคง เด็กประทับใจว่าสังคมแรกเป็นอย่างไรก็จะคาดเดาว่าสังคมอนาคตเป็นในแบบเดียวกัน ความประทับใจนี้มีผลต่อตัวตนและพฤติกรรมต่อ ๆ ไป" หมออัมพล สูอำพัน กล่าว

สภาพแวดล้อมแรกและสังคมแรกสำหรับเด็กจะเป็นอย่างไรก็คงจะต้องขึ้นอยู่กับการเลี้ยงดู ซึ่งในสังคมไทยที่ภาระนี้ยังผูกพันอยู่กับแม่มากกว่าคนอื่น ก็เท่ากับว่าสังคมแรกของลูกนั้นขึ้นอยู่กับแม่เป็นใหญ่

ในอดีตเมื่อลักษณะทางสังคมของครอบครัวคนไทยยังมีการอยู่รวมหมู่ แม้ภาระดังกล่าวนี้จะผูกติดอยู่กับแม่มากกว่าใคร แต่ก็ยังมีญาติคนอื่นช่วยทำหน้าที่ทดแทนได้บ้าง

ต่อเมื่อสภาพของสังคมเปลี่ยนไปเป็นสังคมอุตสาหกรรม มีความทันสมัยมากขึ้น ขนาดของครอบครัวก็เล็กลง มีลักษณะเป็นครอบครัวเดี่ยว มีเพียงพ่อ แม่ และลูกเท่านั้นที่อยู่ด้วยกัน ในเมืองใหญ่ปัจจุบันล้วนแต่เป็นเช่นนี้

ขณะเดียวกัน วิถีชีวิตของคนเมืองก็ต้องเกี่ยวข้องกับการทำงานมากขึ้นในยามกลางวันบ้านจะร้างคนอาศัย เพราะทั้งหญิงและชายต่างก็ต้องอยู่นอกบ้าน

ผู้หญิงไม่ได้เป็นเพียงแม่บ้านที่อยู่กับเหย้าเรือนเฝ้าบ้านและเลี้ยงลูกเท่านั้น แต่จะต้องมีบทบาทในทางเศรษฐกิจ หารายได้ให้กับครอบครัวด้วย การที่ครอบครัวใดเกิดมีลูกขึ้นมาสักคนจึงนับเป็นภาระที่หนักหน่วงมาก การทำงานจะเป็นเสมือนเครื่องกีดกันการเลี้ยงดูลูกไปโดยปริยาย

จุดนี้เองที่ระบบการลาคลอดมีความจำเป็นและที่จำเป็นก็เพราะสังคมกำลังมุ่งหน้าไปในทิศทางที่เป็นอุตสาหกรรมนั่นเอง

"ต้องยอมรับว่าตอนนี้สังคมในกรุงเทพฯ ครอบครัวเป็นขนาดเล็ก และ 80-90% ต่างต้องทำงานทั้งคู่ เมื่อมีการคลอดก็แทบไม่มีใครช่วยเหลือเลย ไม่มีคนมาแทน ถ้าเราไม่ปรับระบบขึ้นรับภาวะนี้ไว้ ต่อไปจะเกิดปัญหาสังคมในรูปแบบต่าง ๆ อย่างที่ไม่อาจคาดหมายได้ เพราะฉะนั้นก็ต้องปรับปรุง" จรัล ภักดีธนากุล รองเลขาธิการสำนักงานตุลาการผู้มีบทบาทสำคัญในการริเริ่มเสนอให้มีการเปลี่ยนแปลงระบบการลาคลอดกล่าว

เมื่อเดือนตุลาคม ปี 2532 ก่อนที่จะมาถึงยุคสมัยของสายสุรี จุติกุล คณะกรรมการส่งเสริมและประสานงานสตรีแห่งชาติ (กสส.) ซึ่งมีพลเอกชาติชาย ชุณหวัณ เป็นประธานและคุณหญิงสุพัตรา มาศดิตถ์ เป็นรองประธาน ได้เคยมีการเสนอให้สิทธิ์หญิงลูกจ้างและหญิงข้าราชการลาคลอดได้ยาวนานขึ้นมาครั้งหนึ่งแล้ว แต่ไม่ได้รับการตอบสนองแต่อย่างใด

ครั้งนั้นคือจุดเริ่มต้นแรก ๆ ของการเคลื่อนไหวขอเปลี่ยนแปลงในเรื่องนี้ โดยผู้เสนอแนวความคิดที่แท้จริงก็คือ คณะอนุกรรมการกฎหมายและระเบียบข้อบังคับซึ่งเป็นคณะอนุกรรมการในสังกัดของ กสส. และมีประธานชื่อ จรัล ภักดีธนากุล

"จุดของผมเป็นการมองออกไปทางกฎหมาย เริ่มต้นดูที่มาตรฐานขั้นต่ำของกฎหมายที่เขาใช้กันสากล เท่าที่สำรวจก็พบว่าเขาถือเรื่องลาคลอดเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนในทางระหว่างประเทศมีหลักฐานชัดเจนว่า เขาถือเอาเกณฑ์การลาคลอดเป็นเรื่องสำคัญ เป็นเรื่องที่ควรมีการคำนึงถึงสภาพความเป็นมนุษย์ถ้าต่ำกว่าเกณฑ์ก็ถือว่าเป็นการลิดรอนสภาพความเป็นมนุษย์ในสังคมอุตสาหกรรม ในเมื่อเรากำลังนำประเทศให้เข้าสู่กึ่งอุตสาหกรรมอย่างนี้ก็น่าจะต้องคำนึงถึงสภาพความเป็นอยู่ของประชาชนของเราบ้าง" รองเลขาธิการสำนักงานตุลาการไล่เรียงถึงที่มาของการหยิบยกเรื่องลาคลอดขึ้นเรียกร้อง

หลักเกณฑ์ที่ได้รับการยึดถือเป็นแนวความคิดระหว่างประเทศกำหนดเอาระยะเวลา 12 สัปดาห์ไว้ว่าเป็นมาตรฐานขั้นต่ำ นั่นก็คือเห็นว่าการลาคลอดควรทำได้อย่างน้อย 84 วัน ทั้งนี้พร้อมกับจะต้องได้รับเงินเดือนเต็มอัตราด้วย โดยที่มาตรฐานนี้มีมาแล้วกว่า 30 ปีในแถบยุโรป

ทางองค์กรแรงงานระหว่างประเทศเองก็ได้กำหนดมาตรฐานในเรื่องนี้ไว้เป็นแนวทางปฏิบัติในหมู่ประเทศสมาชิก 160 ประเทศถึง 4 ประการด้วยเช่นกัน คือ

ประการแรก ให้แม่มีสิทธิลาคลอดได้ 12 อาทิตย์หรือมากกว่านั้นถ้าจำเป็น

ประการที่สอง ระหว่างที่มีการลาคลอด แม่ยังคงต้องได้รับเงินเดือนตามปกติหรืออย่างน้อย 2 ใน 3 (66%) ของรายได้ก่อนลาคลอด

ประการที่สาม ระหว่างที่มีการทำงานควรให้แม่มีเวลาเลี้ยงดูลูก 1 ชั่วโมงต่อ 1 วัน

ประการที่สี่ ห้ามมีการไล่ออกขณะที่แม่ลาคลอด

สำหรับบรรดาประเทศต่าง ๆ ในทวีปยุโรปนั้นต่างก็ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์นี้มาเนิ่นนานแล้วด้วยการออกกฎหมายให้สิทธิในการลาคลอดประมาณ 90 วันหรือ 3 เดือนเป็นส่วนใหญ่ ยิ่งถ้าเป็นประเทศในแถบสแกนดิเนเวียก็จะอนุญาตไว้ให้สูงถึง 6 เดือนทีเดียว หรืออย่างในหน่วยงานระดับโลก เช่น สหประชาชาติก็กำหนดไว้ให้ลาได้ถึง 4 เดือน แบ่งเป็นช่วงก่อนคลอด 1 เดือน และหลังคลอดอีก 3 เดือน

ในทวีปอเมริกาใต้ก็เช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นอารืเจนตินา โบลิเวีย บราซิล โดมินิกัน ไฮติ เม็กซิโก เปรู อุรุกวัย คิวบา คอสตาริกา ชิลี ฯลฯ ต่างก็ยึดถือหลักการนี้เป็นจริงเป็นจัง

แม้แต่ประเทศในทวีปแอฟริกาก็มีถึงประมาณ 20 ประเทศทีเดียวที่ทำตามคงมีก็แต่เพียงประเทศในทวีปเอเชียเท่านั้น ที่ส่วนใหญ่แล้วไม่ยึดถือต่อหลักเกณฑ์นี้โดยที่ประเทศเหล่านั้นยังคงให้สิทธิกับประชาชนของตนน้อยกว่ามาตรฐานสากล และไทยเองก็เป็น 1 ในจำนวนประเทศเหล่านั้น

นอกจากสภาพโดยรวมจะต่ำกว่ามาตรฐานแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่เป็นปัญหาในเรื่องระยะเวลาลาคลอดของประเทศไทยก็คือ ความเหลื่อมล้ำระหว่างสิทธิของข้าราชการหญิงกับลูกจ้างแรงงานหญิงเนื่องจากกฎหมายที่ควบคุมอยู่เป็นคนละฉบับ

ตามประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่องการคุ้มครองแรงงานได้กำหนดวันหยุดงานสำหรับลูกจ้างหญิงหลังการคลอดบุตรไว้เพียง 30 วันเท่านั้น และหากจะลาเพิ่มขึ้นก็กระทำได้อีก 30 วัน แต่ไม่ได้รับเงินเดือน

เมื่อคณะอนุกรรมการกฎหมายและระเบียบข้อบังคับพบกับสภาพความเป็นจริงที่ล้าหลังและไม่ยุติธรรมเช่นนี้ จึงได้เสนอแก้ไขไปทั้ง 2 ส่วนตั้งแต่แรกกับหน่วยงานต้นสังกัด นั่นก็คือ กระทรวงมหาดไทยและสำนักนายกรัฐมนตรี

จรัล ภักดีธนากุล เล่าถึงขั้นตอนการเสนอในครั้งนั้นว่า "เรื่องนี้แรกสุดเราเสนอผ่าน กสส. ได้รับการเห็นชอบ แต่ว่า กสส.เสนอรเองนี้เองไม่ได้ เพียงแต่เป็นตัวประสานและเตรียมเรื่องให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พอส่งไปแล้วก็ถูกเก็บไว้ คือ ไปช้าตามระบบราชการ จนต่อมาเมื่อเห็นว่าเรื่องไม่เดินเลย ผมจึงมาเสนอทางกระทรวงยุติธรรมให้ยกร่างระเบียบการลาของข้าราชการตุลาการ เรื่องนี้เสนอเข้าไปทำให้เกิดการพิจารณากันว่าถ้าจะเอาอย่างนี้ก็ต้องใช้กับข้าราชการทั่วไป"

ในที่สุด การเสนอปรับเปลี่ยนระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการลาของข้าราชการก็จึงได้เกิดขึ้นเมื่อกลางปี 2534 และโด่งดังอย่างมากในเวลาต่อมาด้วยฝีมือของ สายสุรี จุติกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ที่เป็นผู้หญิงคนเดียวของรัฐบาลชุดนี้

ความตั้งใจเดิมของคณะอนุกรรมการกฎหมายและระเบียบข้อบังคับนั้น มีเป้าหมายที่การแก้ไขกฎหมายของฝ่ายเอกชนมากกว่า เพราะเห็นว่าในด้านของเอกชนนั้นลำบากกว่าและมีปริมาณมากกว่า

เพีวงแต่ในเมื่อด้านของข้าราชการก็ยังคงไม่ได้มาตรฐานต้องได้รับการแก้ไขเหมือนกัน และในทางยุทธศาสตร์ถือว่าทำได้ง่ายกว่า เพราะไม่ต้องกระทบกับนายจ้างและข้อเรียกร้องก็เป็นการขยับเพิ่มจากฐานเดิมเพียง 30 วัน ดังนั้นก้าวแรกจึงเลือกที่จะเริ่มจากฝ่ายราชการก่อน

ส่วนแผนสำหรับภาคเอกชนนั้นได้มีการวางไว้เป็น 2 ขั้นตอนที่จะเรียกร้องต่อไป เริ่มด้วยการแก้ไขกฎหมายคุ้มครองแรงงานเพิ่มวันลาคลอดโดยได้รับเงินเดือนเต็มจาก 30 วันเป็น 60 วัน ส่วนอีก 30 วันก็ใช้กฎหมายประกันสังคมเข้ามาเสริมให้มีการจ่ายทดแทนการลาระหว่างวันลาที่ 61-90 เช่นนี้ก็จะเท่ากับว่าลูกจ้างแรงงานหญิงสามารถลาคลอดได้ 90 วัน โดยไม่ขาดเงินเดือนเหมือนกัน

อย่างไรก็ตาม ในการเสนอครั้งหลังนี้สาระต่าง ๆ มีน้อยลงกว่าเดิมมากมาย จากที่ครั้งแรกมีการเสนอให้สิทธิกับชายผู้เป็นพ่อได้ลาหยุดด้วยเป็นเวลา 15 วัน เพื่อให้มีส่วนร่วมในการเลี้ยงดูบุตร อันถือได้ว่าเป็นค่านิยมใหม่ที่ถูกต้องก็ปรากฏว่าได้ถูกตัดทอนออกไปตามข้อแนะนำของคณะกรรมการกลั่นกรองฝ่ายสังคมและกฎหมายที่มี มีชัย ฤชุพันธุ์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน และที่หนักยิ่งกว่านั้นก็คือ ไม่ปรากฏว่าได้มีการเสนอแก้ไขประกาศกระทรวงมหาดไทยในครั้งนี้แต่อย่างใด คงมีแต่เพียงการเสนอเพิ่มวันลาให้กับข้าราชการหญิงเท่านั้น ฝ่ายแรงงานหญิงยังคงมีมาตรฐานอยู่ที่ 30 วัน

"ตรงนี้เป็นการมองกันในแง่การค่อยเป็นค่อยไปและความเป็นไปได้ คือ ให้ราชการไปก่อนแล้วเอกชนค่อยตามมา เป็นการนำร่องเพราะของข้าราชการก็เท่ากับเพิ่มแค่เดือนเดียวด้วย ถ้าเป็นเอกชนจะต้องเพิ่มถึง 2 เดือน แต่ปรากฏว่า ฝ่ายที่ค้านอย่างพวกกระทรวงการคลังก็กลัวตรงนี้นี่เอง คือ กลัวเอกชนเอาตาม การลงทุนจะมีปัญหา เขากลัวอย่างนี้ถึงได้ค้านหัวชนฝา" เจ้าหน้าที่คนหนึ่งของกลุ่มเคลื่อนไหวทางสังคมที่เรียกตัวเองว่า "มูลนิธิเพื่อนหญิง" อธิบายถึงสาเหตุความเป็นมา

ยุทธศาสตร์ที่ฝ่ายหนึ่งวางไว้แล้วอย่างระแวดระวังเกือบจะให้ผลร้ายก็เพราะถูกอีกฝ่ายอ่านใจและเป้าหมายออกนั่นเอง...

วันที่ 22 ตุลาคม 2534 เมื่อร่างแก้ไขระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับการลาคลอดได้รับการเสนอเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเป็นครั้งแรกนั้น ปรากฏว่าไม่ได้รับการตอบสนอง

แต่โดยเหตุที่รัฐมนตรีสายสุรีไม่ยอมรับมตินี้และทำการประท้วงนายกฯ อานันท์ ปันยารชุน จึงได้อนุมัติให้มีการทบทวนมติใหม่โดยยอมรับว่า มติที่ออกมาอาจจะมีขั้นตอนไม่ถูกต้อง เนื่องจากระหว่างการพิจารณารัฐมนตรีเจ้าของเรื่องไปราชการต่างประเทศ ไม่ได้ร่วมรับรู้ด้วย

จากนั้นเรื่องนี้จึงได้รับการบรรจุเข้าที่ประชุม ครม. ใหม่ และมีการพิจารณาอย่างยืดเยื้อออกมาอีก 3 วาระ เป็นเวลา 3 สัปดาห์ด้วยกัน ภายใต้การลุ้นเต็มที่ของรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ องค์กรพัฒนาเอกชนและนักวิชาการ ในขณะที่กระทรวงการคลังและนายจ้างทั้งหลายก็ค้านสุดตัวเหมือนกัน

อย่างไรก็ตาม ที่สุดแล้วมติครม.ก็ได้ยอมอนุญาตให้ข้าราชการหญิงก็สามารถมีขอบเขตวันลาหลังการคลอดได้ถึง 3 เดือนโดยวันลาที่มากขึ้น 1 เดือนนั้นใช้อัตราของการลากิจเข้ามาเสริม

นับได้ว่าเป็นการหาทางออกที่สวย ซึ่งผู้ที่คิดแนวทางประนีประนอมอันชาญฉลาดนี้ก็คือ เสนาะ อูนากูล !

...เป็นอันว่า สิทธิของข้าราชการหญิงพัฒนาขึ้นถึงระดับมาตรฐานแล้ว ส่วนโอกาสของลูกจ้างหญิงภาคเอกชนยังไม่รู้จะมาถึงเมื่อไร...

"ผมเห็นด้วยกันรัฐมนตรีสายสุร ีเพราะเรื่องการเลี้ยงดูลูกนั้นสำคัญ และไม่อาจจะบอกว่าการเลี้ยงดูจะเป็น 1 เดือนหรือกี่เดือน เราต้องเลี้ยงดูกันตลอดไปการกำหนดเวลา จริง ๆ แล้วกำหนดไม่ได้ แต่คนเราก็ไม่ได้อยู่ในสังคมเพื่อการเลี้ยงดูลูกเพียงอย่างเดียว เราต้องอยู่ในสังคมที่มีตัวกำกับอื่น เช่น การงาน ภาระรับผิดชอบทั้งหลาย จะให้สุภาพสตรีอยู่บ้านเลี้ยงดูลูกอย่างเดียวคงเป็นไปไม่ได้ ก็ถึงต้องมีเวลาว่าแค่ไหนจึงพอเหมาะ สำหรับผมก็คือเวลานานที่สุดเท่าที่จะนานได้โดยที่ตัวกำกับทางสังคมยอมรับ" อัมพล สูอำพัน หัวหน้าหน่วยจิตเวชเด็กแห่งคณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวถึงหลักการ

การกำหนดขอบเขตระยะเวลาที่เหมาะสมย่อมไม่ใช่เรื่องที่ทำได้อย่างโดด ๆ หลักอ้างอิงนับว่ามีความจำเป็นมากทีเดียว

สำหรับการกำหนดระยะเวลาประมาณ 12 สัปดาห์ขึ้นมานระดับสากลนั้น ด้านหนึ่งเป็นการสืบเนื่องแบบแผนมาจากแนวความคิดระหว่างประเทศ จนกระทั่งได้รับการระบุอยู่ในอนุสัญญาในเวลาต่อมา ส่วนอีกด้านหนึ่งก็มีความสอดคล้องกับเรื่องของ "ระยะเวลาที่ยอมรับได้" ในการที่เด็กควรจะได้รับนมแม่ นั่นคือประมาณ 3 เดือน

ทั้งองค์การอนามัยโลก (WHO) และองคืการทุนเพื่อเด้กแห่งสหประชาชาติ (UNICEF) ตลอดจนถึงวงการแพทย์สากลต่างเห็นพ้องต้องกันโดยไม่มีนมผงชนิดใดจะมาเหนือกว่าได้ และทารกแต่ละคนก็ควรที่จะได้รับการเลี้ยงดูด้วยนมแม่อย่างน้อย 4-6 เดือนขึ้นไปจนกระทั่ง 2 ปี เพียงแต่ว่าถ้าจะถามว่าถึงระดับต่ำที่สุดจริง ๆ ก็สามารถลดลงได้ 1 เดือน

"เวลา 3 เดือนตามหลักการแพทย์เห็นว่าต่ำสุดเลย 4 เดือนก็ดีมานิดหนึ่ง 6 เดือน เด็กกินอาหารเสริมแล้ว จริง ๆ คือตั้งแต่เกิดจนถึง 4 เดือนกินนมแม่อย่างเดียวก็พอเพียง" ศุภชัย ณ ป้อมเพชร หัวหน้าฝ่ายสารนิเทศ องค์การ UNICEF กล่าว

ผลของการศึกษาวัยเกี่ยวกับการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่หลาย ๆ ชิ้นมักจะระบุว่า แม่ในชนบทมีแนวโน้มในการเลี้ยงลูกด้วยนมตนเองมากกว่าและยาวนานกว่าคนในเมือง ซึ่งสาเหตุนั้นก็มาจากการที่แม่ในเมืองมีเงื่อนไขไม่เอื้ออำนวยหลายประการว่า

ด้านหนึ่งก็คือ วิถีชีวิต การที่ผู้หญิงเมืองปัจจุบันไม่ได้มีหน้าที่เพียงเป็นแม่บ้านอยู่กับเรือนเท่านั้น หากต้องออกไปทำงานนอกบ้านแล้วต้องกลับไปทำงานอย่างรวดเร็วหลังคลอดจึงทำให้ไม่อาจให้นมอย่างมากพอและสม่ำเสมอ

บางรายไม่อยากยุ่งยากกับการต้องมีภาระเพิ่มขึ้นก็อาจเลือกที่จะไม่ให้นมเสียเลยตั้งแต่แรก ในขณะที่บางรายก็ต้องรีบหย่านมเพื่อจะได้ไปทำงานได้ หรือแม้อย่างดีที่สุด คือ แม่ยังคงให้นมลูกอยู่ แต่ก็จะทำได้เฉพาะเวลาเช้าและเย็นไม่สามารถสนองความต้องการของลูกได้เต็มที่

นอกจากนี้แล้วก็ยังมีอีกหลายต่อหลายสิ่งต้องหายไปพร้อมกับการออกไปทำงานของแม่

ผลของความแตกต่างระหว่างเวลา 60 กับ 90 วันอีกประการหนึ่งที่สามารถชี้ชัดได้ก็คือ เรื่องของการวางรากฐานด้านพัฒนาการทางสังคม เนื่องจากในเวลา 8 สัปดาห์หรือประมาณ 60 วัน คือ ช่วงที่เด็กจะเริ่มมีพัฒนาการทางด้านนี้ ในขณะที่ก่อนหน้านั้นการรับรู้ต่อสิ่งรอบตัวของเด็กค่อนข้างว่างเปล่า สังเกตได้จากรอยยิ้มที่ไม่มีจุดหมาย รวมทั้งการที่ยังไม่สามารถจดจำคนอื่นได้

แต่นับตั้งแต่เดือนที่ 3 เป็นต้นไป เด็กจะโต้ตอบกับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างรู้เรื่อง เริ่มรู้จักเล่นและยิ้มให้ผู้ที่เข้ามาหาจำได้ว่า ใครคือแม่ที่เลี้ยงดูใกล้ชิด

ช่วงเวลาเช่นนี้จึงนับว่าสำคัญ เป็นเสมือนจุดเริ่มแรกแห่งการตอกเสาเข็มในด้านพัฒนาการทางสังคม

"เรามีการทำวิจัยพบทางด้านวิทยาศาสตร์เลยว่า เด็กที่ได้รับการกระตุ้นเพียงพอ ไม่ว่าจะเป็นสายตาที่แม่มองไปยังเขา การได้ซุกที่หน้าอกแม่ ทุกสิ่งเป็นปฏิกิริยาที่หล่อหลอมรวมหมด ความผูกพันการเล่นกับลูกจะกระตุ้นให้เซลล์สมองเติบโตได้เร็ว การที่พ่อแม่พูดกับลูกก็จะกระตุ้นให้เด็กมีพัฒนาการภาษาที่เร็ว เรียนรู้เร็ว ขณะที่การที่แม่ให้นมลูกก็จะช่วยกระตุ้นให้ความผูกพันระหว่างแม่กับลูกเข้มขึ้น ผมไม่เคยเป็นผู้หญิงผมไม่รู้ว่ามีความสุขแค่ไหน แต่ผมถามจากแม่ทุกคนต่างก็ตอบว่าระหว่างที่ลูกดูดนมนั้นไม่ใช่ลูกสุขอย่างเดียวแม่ก็สุขด้วย ไม่ใช่แบบเซ็กซ์ แต่เป็นความรักความพอใจ" นายแพทย์หัวหน้าหน่วยจิตเวชเด็กของจุฬาฯ บรรยายให้เห็นภาพอย่างอ่อนโยน

การลาคลอดได้มาก ๆ จึงเท่ากับเป็นการสร้างเงื่อนไขให้ทารกที่เกิดมาได้รับนมแม่เต็มที่ตามเวลาที่ควรจะเป็น ขณะเดียวกันก็เปิดโอกาสให้แม่กับลูกได้อยู่ใกล้ชิดกันมากที่สุดในระยะเวลาแรกโดยทั้งสองสิ่งนี้ก็จะเป็นสะพานนำไปสู่สิ่งดี ๆ อื่น ๆ ทั้งส่วนย่อยและส่วนใหญ่อีกต่อไป

"ช่วงต้นนับว่าสำคัญที่สุดถ้าสามารถให้อะไรกับเด็กมากเท่าไรยิ่งเป็นผลดี แต่สิ่งที่เราอยากให้มีการเจริญเติบโตคงไม่ใช่แค่ด้านสมองหรือร่างกายเท่านั้น ต้องมีด้านจิตใจด้วยให้ผสานกันไปทั้งหมด ไม่แยกช่วง เพราะเราคงไม่อยากได้เด็กฉลาดแล้วเป็นอาชญากร คงสู้ด้วยลำบาก" วีระพงษ์ ฉัตรานนท์ กล่าวถึงองค์ประกอบการพัฒนาเด็กแรกเกิด

การเพิ่มเวลาหยุดงานหลังคลอดให้กับผู้หญิงมากขึ้น เพื่อพักฟื้นฟูสุขภาพพร้อมกับเลี้ยงดูลูกเมื่อพิจารณาหยาบ ๆ แล้วอาจดูเหมือนมีเพียงผู้หญิงคนนั้นและลูกของเธอเท่านั้นที่ได้รับประโยชน์แต่ถ้ามองให้กว้างขึ้น เพียงลูกคนหนึ่งที่จะเติบโตขึ้นมาก็จัดได้ว่า คือ องค์ประกอบหนึ่งที่กำหนดรูปร่างหน้าตาของสังคมทั้งหมดนั่นเอง

หากองค์ประกอบอัปลักษณ์แล้ว สังคมจะสวยงามได้อย่างไร ?

"เรื่องการลาคลอดมีหลายคนมองว่าเป็นการเรียกร้องสิทธิสตรี ผมมองว่าไม่ใช่ เป็นการเรียกร้องเพื่อมนุษยชาติรุ่นใหม่ที่จะเติบโตเป็นคนดีต่อไปในอนาคต ผมคิดว่าเป็นประเด็นนี้ ถ้าเด็กเติบโตขึ้นแล้วสมมติว่าเป็นคนไม่ดี พ่อแม่ก็ทุกข์ร้อน ถ้าเขาเป็นคนติดยา เป็นอันธพาล เป็นขโมย ซึ่งแนวโน้มเกิดมาจากการไม่ได้รับการดูแลเอาใจใส่มาแต่เล็ก ถึงแม้ว่าจะได้รับการศึกษามาอย่างดี คิดหรือว่าเขาจะทำหน้าที่ต่อประเทศชาติได้ดี" หมออัมพล ตั้งข้อสังเกตถึงการโยงในเรื่องนี้

การกล่าวเช่นนี้ดูออกจะเป็นการโยงใยที่เกินเลย แต่ถ้าพิจารณาจากสภาพความเป็นจริงก็คงต้องยอมรับว่าปัญหาวัยรุ่นก้าวร้าว ปัญหาอาชญากรรม ปัญหาสังคมต่าง ๆ ที่เกิดจากคนกำลังเกิดขึ้นโดยสะท้อนออกมาในรูปแบบต่าง ๆ รูปแบบแล้วรูปแบบเล่าจนส่วนหนึ่งกลายเป็นปรากฏการณ์อันธรรมดาที่สร้างภาวะชาชินตามมา

ดูเหมือนในท่ามกลางแบบแผนของสังคมที่มีระบบทุนนิยมครอบงำอยู่ดังเช่นปัจจุบัน มิติทางจิตใจอาจจะเป็นสิ่งที่ถูกละเลยอย่างแจ้งชัดที่สุดอยู่แล้ว

คนรุ่นใหม่ที่มีคุณสมบัติร่วมกันอยู่ระหว่างความฉลาดกับความก้าวร้าวมีระบาดให้เห็นอยู่ทั่วไป โดยเฉพาะในหลายประเทศที่มีการพัฒนาเศรษฐกิจสูง ๆ ซึ่งประเทศไทยก็อยู่ในแนวทางเช่นนี้ด้วย และที่น่าสนใจก็คือ สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศหนึ่งที่ขึ้นชื่อในด้านนี้ โดยที่กำหนดการลาคลอดของที่นั่นก็ยังไม่ได้ระดับมาตรฐานสากล

"เรื่องลาคลอดไม่ได้เป็นเรื่องของการที่ผู้หญิงลุกขึ้นมาเรียกร้องเอาโน่นเอานี่เป็นเรื่องผลประโยชน์ของชาติ เรื่องของเด็ก อนาคตของคนรุ่นใหม่ ผสมผสานกับการให้ความยุติธรรมแก่ผู้หญิง คือ ต้องยอมรับความเป็นจริงว่าการไปคลอดเป็นเรื่องของการไปรับภาระหน้าที่อีกอย่างหนึ่ง เพราะฉะนั้นจึงไม่ยุติธรรมที่จะต้องให้คนทำหน้าที่ 2 อย่างในเวลาเดียวกัน ถ้าเราเห็นความสำคัญของเด็กและความำสคัญของการทดแทน การผลิตคนรุ่นใหม่ ประเด็นเรื่องการลาคลอดก็มีความสำคัญ" ธีรนาถ กาญจนอักษร อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวแสดงทัศนะในทำนองเดียวกัน

ความสัมพันธ์ระหว่างคนอันเป็นหน่วยเล็กกับสังคมที่เป็นหน่วยใหญ่ผูกร้อยและมีอิทธิพลต่อกันอย่างแนบแน่น ขณะที่คนคือผู้มีบทบาทกำหนดหน้าตาของสังคม ระบบ แบบแผนตลอดจนสภาพทั่ว ๆ ไปของสังคมก็เป็นกรอบกำหนดมนุษย์แต่ละคนเช่นเดียวกัน เมื่อทั้งสองส่วนต่างก็มีบทบาทกระทบต่อกันจึงต้องมีหน้าที่ต่อกันด้วย

"การที่เรื่องลูกถูกมองเป็นเรื่องส่วนตัวของผู้หญิงหรือเด็กเป็นสมบัติของครอบครัว เป็นความเข้าใจผิดที่มีมานาน ที่จริงเด็กนั้นเป็นคนเป็นอนาคตของชาติ สมมติเด็กคนหนึ่งเติบโตมาเป็นนักเลง เขาไม่ได้กระทบแค่พ่อแม่ แต่กระทบคนทั้งสังคม คนที่เที่ยวไล่ฆ่าคน คนที่นิยมความรุนแรง คนไม่มีคุณภาพ คนเหล่านี้เพิ่มขึ้นเห็นได้ชัด ต้องยอมรับว่าทุกคนเป็นส่วนหนึ่งของสังคม การผลักภาระว่าการเลี้ยงดูคนเป็นเรื่องส่วนตัวเป็นแนวคิดที่ผิดและทำให้เรามีปัญหาอยู่" ธีรนาถ กาญจนอักษร อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อธิบายถึงหลักคิดใหญ่ที่ทำให้เห็นด้วยกับเรื่องของการให้ระยะเวลาคลอดได้นาน ๆ

ข้อคัดค้านที่ว่าเมื่อแรงงานต้องขาดหายไปในช่วงเวลาที่ยาวนานขึ้น จะยิ่งทำความเสียหายให้แก่เศรษฐกิจโดยส่วนรวม และสร้างภาระให้กับผู้อ่นที่ต้องทำงานทดแทน คือ ความจริงที่จะต้องเกิดขึ้น เป็นสิ่งที่จะต้องสูญเสียโดยปฏิเสธไม่ได้ แต่การตัดสินใจนั้นขึ้นอยู่กับการให้น้ำหนักว่าอะไรมีค่ากว่าอะไร

หากสังคมเห็นว่าภารกิจร่วมกันไม่ได้อยู่ที่การผลิตสินค้าหรือบริการเพื่อสร้างความมั่งคั่งเฉพาะหน้าเพียงอย่างเดียว แต่สังคมมีภาระในการสร้างคนรุ่นใหม่ด้วย ต้นทุนของการสร้างแรงงานรุ่นใหม่นั้นส่วนหนึ่งก็คือ การที่จะต้องเสียจากการจ้างคนงานเพิ่มหรือทำการผลิตได้ลดลง การต้องเสียสิ่งหนึ่งสำหรับได้อีกสิ่งหนึ่งก็สมเหตุสมผล

"สังคมต้องยอมรับอันนี้ เราต้องคำนึงถึงสังคมกับเศรษฐกิจไปพร้อม ๆ กัน ในประเทศที่เจริญแล้ว เขาจะต้องดูแลผลประโยชน์ในด้านนี้ ถือเป็นสิทธิอันควรมีควรได้ของสตรี เพราะมั่นใจว่าการลงทุนในเด็กโดยผ่านแม่เป็นเรื่องที่จะแก้ไขการด้อยพัฒนาได้ ลงทุนที่แม่ก่อนให้แม่มีโอกาสให้นมลูก เมื่อเด็กอยู่รอดได้แล้วก็ให้การศึกษาให้เขาเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพแล้ว เขาก็จะตอบแทนสังคมด้วยระบบภาษี" ศุภชัย ณ ป้อมเพชร ให้ทัศนะถึงรูปธรรมความสัมพันธ์ในเชิงกระบวนการลงทุน

ถึงแม้สังคมอาจจะต้องลงทุนกับคนคนหนึ่งไม่เฉพาะแค่ 3 เดือน แต่เป็นปี ๆ หรือ 20-30 ปี ก็ถือว่าไม่เกินเลยไป เพราะแต่ละคนย่อมจะชดเชยให้กับสังคมภายหลังนับสิบ ๆ ปีอยู่แล้ว

ซึ่งตามสภาพความเป็นจริง ช่วง 20 ปีแรกของมนุษย์ก็เป็นระยะที่จะต้องได้รับการพัฒนาก่อนต่อเมื่อเติบโตสมบูรณ์แล้ว จึงจะตอบแทนคืนกลับให้ได้

เรื่องการลงทุนกับคนนอกจากจะพิจารณาได้ในลักษณะของความคุ้มค่าในระยะยาวแล้ว ข้อพิจารณาในเชิงของสิทธิก็นับว่ามีความสำคัญ เพราะในเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับสิทธิอย่างน้อย 2 ส่วนด้วยกัน คือ ผู้หญิง และเด็ก

ถ้าถือว่าเรื่องของการผลิตคนรุ่นใหม่มีความสำคัญ สิทธิของหญิงในฐานะผู้ทำหน้าที่นี้ก็จะต้องได้รับการคุ้มครองและไม่ถูกละเมิด ไม่ว่าจะด้วยการเอาเปรียบให้ต้องทำหน้าที่อื่นในเวลาเดียวกัน หรือด้วยการละทิ้งไม่ดูแลให้ความมั่นคง ปลอดภัยทั้งในแง่ของสุขภาพทางกายและทางใจ

"การเอาเปรียบผู้หญิงแทนที่จะได้ก็กลายเป็นเสีย บางคนยังไม่ควรกลับเข้าทำงานก็ต้องกลับ ระยะยาวพวกนี้จะเป็นทรัพยากรที่เสื่อมสมรรถภาพเร็วเกินไป ด้านร่างกายก็จะเป็นต้นทุนที่เสียไป ระบบการพัฒนาของเรายังเป็นแบบล้างผลาญทุกอย่างทั้งทรัพยากรธรรมชาติและคน" ธีรนาถ กาญจนอักษร นักเศรษฐศาสตร์หญิงแห่งจุฬาฯ กล่าว

ทางด้านสิทธิของเด็กและเยาวชนก็มีหลักการระดับโลกบางข้อที่โยงกับเรื่องนี้ได้กำหนดอยู่ในปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิเด็ก เช่น ข้อที่หนึ่งกล่าวว่าเด็กต้องได้รับสิทธิอันเท่าเทียมกัน ข้อสองระบุว่า เด็กจะต้องได้รับการคุ้มครองเป็นพิเศษ อันจะช่วยให้เด็กสามารถพัฒนาทั้งทางกาย สมอง และจิตใจ เป็นต้น

นอกจากนี้ ยังมีอนุสัญญาเด็กจากการประชุมสุดยอดระดับโลก เพื่อเด็กที่จัดขึ้นที่องค์การสหประชาชาติ นครนิวยอร์กเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2533 นี้เอง ซึ่งในมาตราที่ 3 ของอนุสัญญาได้ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า "การกระทำใด ๆ ก็ตามที่เกี่ยวข้องกับเด็ก ไม่ว่าจะเป็นของสถาบันสงเคราะห์ของรัฐหรือของเอกชน ศาลยุติธรรมหน่วยงานบริหารของรัฐหรือองค์กรนิติบัญญัติใด ๆ จะต้องยึดถือประโยชน์ที่ดีที่สุดของเด็กเป็นสิ่งแรกในการพิจารณา"

ความคิดที่ว่าผู้หญิงคือผู้แบกโลกไว้ครึ่งหนึ่ง มีส่วนในการร่วมสร้างสรรค์สังคมอย่างสำคัญ และเด็กผู้เป็นหน่ออ่อนสืบสายมนุษยชาติก็คือ ความหวังสำหรับวันข้างหน้าของสังคมมักมีการยอมรับด้วยดี แต่ในทางปฏิบัติแล้ว ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งเช่นดียวกับที่ทรัพยากรมนุษย์กำลังได้รับการกล่าวขวัญถึงอย่างทรงความสำคัญอย่างยิ่ง ทว่าเมื่อจะต้องลงทุนกับการพัฒนาเสริมสร้างคุณภาพของทรัพยากรมนุษย์ รัฐก็กลับลังเล

แม้ว่าครั้งนี้มติในที่สุดของคณะรัฐมนตรีจะออกมาอนุญาตให้การลาคลอดของข้าราชการหญิงกระทำได้ถึง 90 วันหลังจากที่เคยปฏิเสธในเบื้องต้นจนกระทั่งเกิดการถกเถียงขึ้นในสังคม

การอนุญาตครั้งนี้ก็ดูจะเกิดขึ้นเพราะไม่อาจขัดกับแรงเรียกร้องมากกว่าจะเป็นการคำนึงถึงความหมายและคุณค่าอันหลากหลายของการลาคลอดอย่างแท้จริง

อย่างไรก็ตาม กล่าวได้ว่า ไม่ว่ากระบวนการจะเป็นอย่างไร ผลลงเอยนั้นก็นับว่าไม่เลวนัก

แต่ถ้าจะเคารพต่อสิทธิกันอย่างแท้จริงโดยมีเป้าหมายเพื่อเชื่อมโยงต่อความต้องการสร้างอนาคตของชาติที่ดีและต้องการสังคมวันหน้าที่ดีขึ้น

ในก้าวต่อไป หญิงลูกจ้างภาคเอกชนและลูกของเธอก็ควรจะต้องได้รับการเคารพสิทธิและการส่งเสริมให้ได้รับสิ่งดี ๆ ด้วยเช่นกัน โดยสิ่งนี้ไม่ควรจะต้องถูกเรียกร้องเพราะสภาพที่เป็นอยู่นี้ถือว่าเป็นการละเมิดเป็นความบกพร่องของระบบสังคมที่จะต้องได้รับการแก้ไข

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us