|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
ส.อ.ท.รวบรวมต้นทุนผลิต 35 กลุ่มอุตสาหกรรม พบว่าราคาน้ำมันดันต้นทุนเพิ่มเฉลี่ย 10% โดยสะท้อนจากต้นทุนน้ำมันเตาและดีเซล ขณะที่วัตถุดิบขยับแล้วคาดมีผลกดดันปรับราคาสินค้าปี 2551 สูงเหตุสิ้นปีแรงซื้อต่ำหลายรายการทำได้แค่ทยอยขึ้น หนุนรัฐอุ้มดีเซลรอบ 2 หลังทิศทางดีเซลแนวโน้มพุ่งสูงปลายปี “ปิยสวัสดิ์” เล็งลดเงินเข้ากองทุนน้ำมันสำหรับแก๊สโซฮอล์ และไบโอดีเซล 10-30 สต./ลิตร จันทร์นี้ ด้าน ปตท.เสือปืนไวขยับขึ้นราคาน้ำมันขายปลีกทุกชนิดอีกลิตรละ 50 สตางค์วันนี้ ขณะที่นักวิชาการฟันธงให้ทำใจน้ำมันจะแพงต่อเนื่องไปถึงต้นปีหน้า
นายธนิต โสรัตน์ รองเลขาธิการสายงานเศรษฐกิจ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ขณะนี้สมาชิก ส.อ.ท.35 กลุ่มอุตสาหกรรมกำลังรวบรวมผลกระทบจากปัญหาน้ำมันแพงที่ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้น ซึ่งจากข้อมูลเบื้องต้นราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นตั้งแต่ต้นปีทำให้ต้นทุนผู้ประกอบการเพิ่มแล้วเฉลี่ย 10% โดยมาจากต้นทุนหลักคือดีเซลและน้ำมันเตา ดังนั้น ภาระต้นทุนดังกล่าวบางส่วนจะถูกผลักไปยังราคาสินค้าที่ต้องปรับเพิ่มขึ้นในปี 2551 เนื่องจากช่วงสิ้นปีนี้การปรับเพิ่มราคาขึ้นของสินค้าทำได้ยากในบางรายการที่แรงซื้อค่อนข้างต่ำแต่บางรายการจะมีการทยอยปรับในช่วงสิ้นปีนี้
“ผลกระทบจากน้ำมันเตา ต่อต้นทุนผลิตที่นำไปใช้ในหม้อต้มน้ำในกระบวนการผลิตไฟ ประมาณ 3-4% ขณะที่น้ำมันดีเซลจะกระทบไปยังต้นทุนค่าขนส่งเฉลี่ย 5-6% ซึ่งต้นทุนค่าขนส่งจะคิดอยู่ในราคาสินค้าเฉลี่ย 12-15% แต่สิ่งที่ต้องติดตามคือวัตถุดิบที่นำเข้าจากต่างประเทศที่ค่าขนส่งหรือค่าเฟดจะบวกไปทันทีแล้วเมื่อผู้ผลิตต้องขนส่งผ่านไปยังผู้ใช้ก็จะมีปัญหาเพิ่มขึ้นอีก” นายธนิต กล่าว
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและย่อม หรือ SMEs ที่มีอำนาจต่อรองค่อนข้างต่ำจะได้รับผลกระทบจากปัญหาน้ำมันแพงค่อนข้างสูง ดังนั้นเอกชนเห็นว่ารัฐอาจมีความจำเป็นต้องลดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันในส่วนของดีเซลลงอีกจากปัจจุบัน 40 สตางค์ต่อลิตรเพื่อเป็นจิตวิทยาสำหรับประชาชนทั่วไปเพราะดีเซลมีแนวโน้มจะต้องปรับเพิ่มขึ้นอีกเมื่อพิจารณาจากราคาตลาดโลกซึ่งจะส่งผลให้ดีเซลปีนี้เป็นราคาสูงสุดเท่าที่เคยเกิดขึ้น
จ่อลดเก็บเงินเข้ากองทุนฯ อีกรอบ
นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า ทางกระทรวงฯ เตรียมปรับลดการจัดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงอีกครั้งเพื่อบรรเทาผลกระทบต่อประชาชน โดยขอติดตามราคาน้ำมันในตลาดโลกอีก 1 วัน ซึ่งหากราคาน้ำมันยังคงปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในวันที่ 12 พ.ย.นี้จะประกาศปรับลดอัตราการจัดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันทันทีโดยเฉพาะในส่วนของแก๊สโซฮอล์และไบโอดีเซล
ทั้งสถานการณ์ราคาน้ำมันโลกยังปรับตัวสูงขึ้นและมีความผันผวนสูง โดยล่าสุด ราคาน้ำมันดิบดูไบได้สูงขึ้นถึง 2.6 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล อยู่ในระดับ 88.8 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ในขณะที่ตลาดน้ำมันสิงคโปร์ เบนซิน 95 ปรับเพิ่มขึ้น 2.5 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล มาอยู่ที่ 102 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล และดีเซลปรับเพิ่มขึ้น 3.1 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล มาอยู่ในระดับ 108 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ประกอบกับนักวิเคราะห์คาดว่าอาจเห็นราคาน้ำมันดิบที่ทะลุเกิน 100 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลได้
อย่างไรก็ตาม แม้ว่ารัฐบาลจะมีการลดอัตราเงินกองทุนน้ำมัน เพื่อชะลอการปรับขึ้นราคาน้ำมันในประเทศ แต่ราคาน้ำมันโลกที่ยังคงสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ค่าการตลาดของผู้ค้าน้ำมันติดลบ จึงอาจมีการปรับราคาขายปลีกน้ำมันได้ ตราบใดที่ราคาน้ำมันยังมีแนวโน้มที่สูงขึ้นไม่ลดลง ดังนั้นคนไทยยังมีทางเลือกในการใช้น้ำมันราคาถูกผ่านทางแก๊สโซฮอล์ (ต่ำกว่าเบนซิน 3.50 บาท/ลิตร) และไบโอดีเซล (ถูกกว่าดีเซลลิตรละ 1บาท)
สาเหตุที่ทำให้ราคาน้ำมันดิบได้ปรับตัวสูงขึ้นมากในช่วงนี้ เป็นผลมาจากปัจจัยด้านการจัดหาเป็นหลัก โดยแม้พายุจะพัดผ่านอ่าวเม็กซิโกไปแล้ว แต่การขุดเจาะรวมถึงการกลั่นน้ำมันในบริเวณนี้ยังไม่สามารถกลับมาผลิตได้เต็มที่ สภาพอากาศที่แปรปรวนในทะเลเหนือทำให้บริษัทโคนอโคต้องหยุดการผลิตลงส่วนหนึ่ง การปิดลงของท่อส่งน้ำมันที่ถูกลอบวางระเบิดในเยเมน และปริมาณน้ำมันสำรองของอเมริกาได้อยู่ในระดับที่ต่ำกว่าปกติ และความเสี่ยงของการเกิดสงครามระหว่างตุรกีกับกลุ่มกบฎเคิร์ก
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การพิจารณาปรับลดการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ครั้งนี้อาจจะลดได้ 10-30 สต./ลิตร ซึ่งจะช่วยให้ผู้ค้าน้ำมันชะลอการปรับราคาขายปลีกของแก๊สโซฮอล์และไบโอดีเซลออกไปได้อีก ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 5 พ.ย.ที่ผ่านมา กระทรวงพลังงานได้ปรับลดเงินนำส่งเข้ากองทุนน้ำมันลง 40 สตางค์/ลิตร ยกเว้นเบนซิน 95
วันนี้ราคาน้ำมันขึ้นลิตรละ 50 สต.
นายชัยวัฒน์ ชูฤทธิ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ธุรกิจน้ำมัน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปตท.จำเป็นต้องปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินและดีเซลทุกชนิดขึ้นอีก 50 สต./ลิตรในวันนี้ (9 พ.ย.) เนื่องจากราคาน้ำมันในตลาดได้ปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ในขณะที่ช่วง 10 เดือนที่ผ่านมาราคาน้ำมันในตลาดโลกเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ปรับเพิ่มขึ้นถึง 60% แต่ราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศมีการปรับเพิ่มขึ้นเพียง 20% ทำให้ ปตท.ต้องแบกรับภาระวันละ 55-60 ล้านบาท โดยปีนี้ ปตท.รับภาระขาดทุนไปแล้วจำนวน 3 พันล้านบาท
จากการปรับขึ้นราคาน้ำมันครั้งนี้ ทำให้เบนซิน 95 อยู่ที่ลิตรละ 31.69 บาท เบนซิน 91 อยู่ที่ 30.89 บาท/ลิตร แก๊สโซฮอล์ 95 อยู่ที่ 28.19 บาท/ลิตร แก๊สโซฮอล์ 91 อยู่ที่ 27.39 บาท/ลิตร ดีเซลอยู่ที่ 28.64 บาท/ลิตร ไบโอดีเซล อยู่ที่ 27.64 บาท/ลิตร
นายชัยวัฒน์ กล่าวต่อไปว่า จากสถานการณ์ราคาน้ำมันผันผวนสูงมาก ส่งผลให้ผู้ใช้รถหันมาเติมแก๊สโซฮอล์เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากมีราคาถูกกว่าเบนซินถึงลิตรละ 3.50 บาท ทำให้ยอดขายแก๊สโซฮอล์ของ ปตท.ในช่วง ต.ค.ที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นเป็น 60 ล้านลิตร เติบโตขึ้น 20% ทำให้มีความต้องการใช้เอทานอลเพิ่มขึ้นจาก 5 ล้านลิตร เป็น 6 ล้านลิตรต่อเดือน สามารถช่วยแบ่งเบาแก้ปัญหาเอทานอลล้นตลาด และลดการนำเข้าน้ำมันเกือบ 2 พันล้านบาทต่อปี
เตือนน้ำมันราคาสูงถึงปีหน้า
นายเทียนไชย จงพีร์เพียร นักวิชาการด้านพลังงาน กล่าวว่า ราคาน้ำมันยังคงมีแนวโน้มสูงขึ้นตลอดสิ้นปีนี้และจะต่อเนื่องไปจนถึงต้นปี 2551 เนื่องจากปัจจัยสำคัญมาจากความต้องการเพิ่มสูงขึ้นแต่การจัดหาหรือ ซัปพลายของโลกมีจำกัดจึงมีผลให้เกิดการเก็งกำไรจากเฮดจ์ฟันด์ต่างๆ ได้มากขึ้นจึงดันให้ราคาน้ำมันทรงตัวระดับสูงซึ่งจะมีระดับสูงไปอีกในช่วงฤดูหนาวเพราะความต้องการเพิ่มขึ้นซึ่งฤดูหนาวแท้จริงของสหรัฐและยุโรปจะเริ่มปลาย พ.ย.นี้
“เข้าฤดูหนาวจึงไม่มีเหตุผลว่าน้ำมันช่วงนี้จะลดลงได้มาก อย่างเก่งคงทรงตัวระดับนี้ไปเรื่อยๆ และจะไปลดอีกทีช่วงไตรมาส 2 ปีหน้าและปลายปีหน้าพอเข้าฤดูหนาวก็จะมาอีกเพราะยังไม่เห็นปัจจัยการผลิตใดๆ ที่จะเพิ่มขึ้นซึ่งหลายสำนักระบุว่าความต้องการปีหน้าอาจเพิ่มถึง 2 ล้านบาร์เรลต่อวันขณะที่กำลังการผลิตยังคงที่ และต้องจับตาค่าเงินเหรียญสหรัฐที่คาดว่าจะอ่อนค่าอีกก็จะยิ่งทำให้ราคาน้ำมันไม่มีเหตุผลจะลงมากเช่นอดีตที่ผ่านมาดังนั้นการลดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเพื่อลดภาระประชาชนแท้จริงก็จะช่วยได้ไม่มาก” นายเทียนไชย กล่าว
น้ำมันดันพลังงานอื่นๆ พุ่งตาม
นายเทียนไชย กล่าวว่า สิ่งที่ไทยต้องระมัดระวัง คือ เมื่อราคาน้ำมันมีทิศทางที่สูงขึ้นได้ผลักดันให้ราคาพลังงานอื่นๆ ปรับตามไม่ว่าจะเป็นถ่านหิน ก๊าซธรรมชาติเหลวหรือ LNG ก๊าซหุงต้ม น้ำมันเตา สูงตามไปด้วยขณะที่ไทยมีการจำกัดการผลิตไฟฟ้ากระจุกตัวที่ก๊าซธรรมชาติอย่างมากซึ่งการจัดหาระยะยาวจะเป็นอะไรที่น่าห่วงโดยเฉพาะ LNG เนื่องจากระบบการค้าไม่ได้เปิดกว้างเช่นน้ำมันเพราะต้องมีระบบคลัง และขนส่ง เป็นกรณีพิเศษและการซื้อขายต้องลงนามสัญญาระยะยาวที่ล่าสุด ปตท.เองก็ยังคงไม่สามารถจะหาแหล่งจัดหาได้ที่ชัดเจนขณะที่ราคากลับเพิ่มขึ้นอย่างมาก
“ผมคิดว่าระยะกลาง 5-10 ปีจะต้องมองเรื่องถ่านหินไว้บ้าง และระยะยาว 15 ปีควรมองนิวเคลียร์เป็นทางเลือกวันนี้คนไทยปิดกั้นทางเลือกอื่นๆ หมดเราก็จะต้องยอมรับชะตากรรมค่าไฟที่จะแพงในอนาคตซึ่งน่าแปลกที่คนกลุ่มหนึ่งต้องการไฟแต่ไม่ต้องการโรงไฟฟ้าและประเทศไทยจะพัฒนาได้อย่างไรเพราะความต้องการก็เพิ่มขึ้นทุกปีอย่างน้อยก็ปีละ 2 โรงไฟฟ้าที่ต้องเกิดใหม่” นายเทียนไชย กล่าว
ปั๊มเล็กโอดยิ่งขายยิ่งเจ๊ง
นายสมภพ ธนะธีรพงศ์ นายกสมาคมผู้ค้าปลีกน้ำมัน กล่าวว่า ขณะนี้ปั๊มน้ำมันอิสระต้องทยอยปิดกิจการเนื่องจากค่าการตลาดติดลบซึ่งหลายปั๊มเลือกที่จะปิดดีกว่าขายขาดทุน นอกจากนี้ปั๊มอิสระก็ไม่สามารถที่จะเลือกขายพลังงานทดแทนอื่นๆ ได้ทั้งแก๊สโซฮอล์ และบี 5 เพราะผู้ค้าจะเลือกส่งน้ำมันให้เฉพาะที่เป็นดีลเลอร์ของตนเองเท่านั้น
|
|
|
|
|