Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ ธันวาคม 2534








 
นิตยสารผู้จัดการ ธันวาคม 2534
BIV พร้อมแล้วสำหรับ การลงทุนในเวียดนาม             
 


   
search resources

Investment
Consultants and Professional Services
Vietnam
วิรัช หลีอาภรณ์




การมาเยือนประเทศไทยของหวอ วัน เกี๊ยต นายกรัฐมนตรีแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม เมื่อวันที่ 28 - 30 ตุลาคมที่ผ่านมา ถือเป็นจุดสูงสุดในความเพียรพยายามของทั้งสองประเทศที่จะเปิดศักราชใหม่ของความสัมพันธ์ ซึ่งตั้งอยู่บนความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกัน รวมถึงความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่จะมีขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้

ในช่วง 2 - 3 ปีที่ผ่านมา นักธุรกิจไทยไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควรกับความพยายามที่จะเข้าไปลงทุนในเวียดนามมักประสบปัญหาหลายด้าน อย่างเช่น การไม่สามารถหาบุคคลที่จะติดต่อทั้งภาครัฐบาลและเอกชนของเวียดนามได้อย่างถูกต้องเหมาะสม จึงทำให้การดำเนินงานล่าช้าหรือเป็นโมฆะ การขาดข้อมูลที่ดีเพื่อช่วยในการตัดสินใจในกรณีของสถานที่ตั้งแหล่งทรัพยากร ประเภทธุรกิจที่ได้รับการสนับสนุน สิ่งอำนวยความสะดวกและสาธารณูปโภคพื้นฐานอันเป็นปัจจัยเกื้อหนุนต่อการลงทุน การขาดความรู้เรื่องภาษี กฎเกณฑ์ข้อบังคับ และนโยบายของรัฐบาลเวีดยนาม ซึ่งรวมถึงด้านการเงินและแรงงาน และประกาสำคัญคือการเจรจาต่อรองและการขออนุมัติการลงทุนจากภาครัฐบาลและเอกชนของเวียดนาม

เมื่อเทียบกับการเข้าไปลงทุนของประเทศใกล้เคียงอย่างสิงคโปร์ ไต้หวัน และฮ่องกง ซึ่งประสบผลสำเร็จมากกว่า ทั้งนี้เนื่องจากประเทศเหล่านี้มีประสบการณ์ทางด้านการค้ากับนานาชาติมากกว่านักธุรกิจไทย ประกอบกับประเทศเหล่านี้ส่วนใหญ่จะมีบริษัทที่ปรึกษาด้านการลงทุนในเวียดนามอยู่จำนวนมาก ถึงแม้ว่าจะมีปัญหาในการดำเนินงานบ้างแต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคมากนัก ในขณะที่นักธุรกิจไทยจะติดต่อธุรกิจในเวียดนามด้วยตัวเอง

ช่องว่างตรงจุดนี้เองที่ทำให้นักธุรกิจซึ่งคลุกคลีอยู่กับการค้าในต่างประเทศ 3 คนรวมตัวกันเปิดบริษัทที่ปรึกษาทางธุรกิจในเวียดนาม หรือบีไอวี (BUSINESS IN VIETNAM CONSULTING) ขึ้น นำทีมโดยวิรัช หลีอาภรณ์ นักการตลาดที่ผันมาทำธุรกิจของตัวเองในโครงการออร์ชาร์ดปาร์ค บ้านสวนไฮเทคที่จังหวัดระยองหลังจากสลัดตำแหน่งผู้อำนวยการภาคพื้นเอเชียแปซิฟิกและแอฟริกาจากค่ายจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ในปี 2533

นอกจากนี้ ยังมี ภูริพันธุ์ พิรกิจกุศล ซึ่งเป็นผู้มีความรู้ความชำนาญด้านกิจการระหว่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายในภูมิภาคอินโดจีนจากประสบการณ์ในการทำงานกับคณะทูตของเวีดยนามในอดีตถึง 5 ปี (ในปี 2502-2507) รวมถึงการทำงานกับองค์การสหประชาชาติเป็นเวลานานถึง 25 ปี จนเกษียณอายุเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2533

และสุพันธ์ โสตถิทัต ซึ่งผ่านงานทางด้านการธนาคารมาโดยตลอดจากธนาคารออมสิน ธนาคารกรุงไทย BANK OF ASIA และที่ THE TRUSTEE SAVINGS BANK ในสกอตแลนด์ด้วย

วิรัชอธิบายถึงโอกาสการลงทุนในเวียดนามพร้อมทั้งบทบาทของบีไอวีว่า "เวียดนามยังเป็นโอกาสที่เปิดกว้างสำหรับนักลงทุน ถึงแม้ว่าปัจจัยด้านความเสี่ยงยังคงมีอยู่ ในอดีตมีบริษัทบางรายที่ไม่ประสบความสำเร็จในการพยายามเข้าไปทำธุรกิจในเวีดยนาม ส่วนหนึ่งมีสาเหตุมาจากการติดต่อสื่อสารผิดช่องทาง และอีกส่วนหนึ่งเป็นเพราะพวกเขามีความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับวัฒนธรรมและนโยบายด้านการลงทุนของเวียดนาม ดังนั้นบทบาทของบีไอวีจะไม่จำกัดอยู่เพียงแค่พยายามชี้แนะให้ข่าวสารแก่นักธุรกิจเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวด้านการค้า เศรษฐกิจ และการเมืองเท่านั้น หากแต่ยังจะครอบคลุมไปถึงการช่วยให้นักธุรกิจเหล่านั้นได้มีโอกาสพบกับผู้ร่วมทุนในอนาคตในเวียดนามอีกด้วย"

ดังนั้น ขอบข่ายการทำงานของบีไอวีนอกเหนือจากการให้คำปรึกษาแนะนำ และช่วยเหลือบริษัทในประเทศไทยและต่างประเทศที่สนใจการลงทุนในเวียดนามให้เป็นการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุดแล้ว ยังช่วยเจรจาตกลงต่อรองกับรัฐบาลเวียดนามในการดำเนินการลงทุนรวมทั้งขอวีซ่าธุรกิจ และเอกสารที่จำเป็นในการแสดงตัวต่อรัฐบาลเวีดยนาม รวมถึงการให้เจ้าหน้าที่เวียดนามช่วยอำนวยความสะดวกกับตัวแทนธุรกิจที่ไปหาลู่ทางการลงทุนในเวียดนาม พร้อมทั้งให้ความช่วยเหลือตัวแทนธุรกิจการลงทุนในเรื่องการเซ็นสัญญาต่าง ๆ กับเวียดนามและให้คำปรึกษาและแก้ไขปัญหาต่าง ๆ กับบริษัทในประเทศไทยและต่างประเทศที่ได้ดำเนินการลงทุนอยู่ในเวียดนามด้วย

สำหรับการคิดค่าบริการนั้น วิรัชกล่าวว่าจะคิดจากเวลาที่เสียไปกับการให้คำปรึกษาตลอดโครงการรวมกับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการเดินทางไปติดต่อธุรกิจ ส่วนลูกค้ากลุ่มเป้าหมายคือบริษัทใหญ่และบริษัทขนาดกลาง รวมถึงบริษัทต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในไทย

ภูมิพันธุ์ได้อธิบายถึงศักยภาพของเวีดยนามที่เป็นปัจจัยเอื้ออำนวยต่อการลงทุนหลายประการ ดังนี้

ทรัพยากรธรรมชาติ เวียดนามมีทรัพยากรที่อุดมสมบูรณ์ บริษัทข้ามชาติหลายบริษัทกำลังสำรวจขุดเจาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติในเวียดนาม และได้ค้นพบแหล่งน้ำมันดิบขนาดใหญ่บริเวณนอกทะเลอีกด้วย นอกจากเวียดนามจะเป็นแหล่งแร่ธาตุหนักต่าง ๆ รวมทั้งถ่านหินจำนวนถึงพันล้านตันแล้ว ยังเป็นแหล่งแร่ธาตุที่สำคัญอีกหลายชนิด ได้แก่ แร่บอกไซด์มีจำนวน 6,750 ล้านตัน แร่เหล็ก แร่อิลมีไนท์จำนวน 10 ล้านตัน ตะกั่วและสังกะสี ทองแดง ออกไซด์ของโลหะที่หายาก ทอง แร่อัญมณี โครเมี่ยม และแอพพาไทท์ ซึ่งน่าสังเกตว่ามีเพียงถ่านหินเท่านั้นที่ได้รับการสำรวจขุดเจาะ ส่วนแร่ธาตุอื่น ๆ ที่เหลือเกือบทั้งหมดยังไม่มีการนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์

ตลาดแรงงาน เวียดนามมีจำนวนประชากรกว่า 65 ล้านคนจึงเป็นตลาดแรงงานขนาดใหญ่ แต่ละปีจะมีแรงงานเพิ่มขึ้นกว่าหนึ่งล้านคน ซึ่งเป็นผู้ที่มีการศึกษาระดับมัธยมศึกษา (เทียบเท่าระดับ 9 ในระบบการศึกษาภาคบังคับ 12 ปี) ในขณะที่ค่าจ้างยังคงต่ำอยู่

ด้านอุตสาหกรรม ตามประกาศขององค์การพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งสหประชาชาติ เวียดนามมีวัตถุดิบที่อุดมสมบุรณ์สำหรับอุตสาหกรรมส่วนใหญ่ ซึ่งได้แก่ อุตสาหกรรมผลิตอาหาร การบรรจุหีบห่อ อุตสาหกรรมการทอผ้า อุตสาหกรรมการผลิตเครื่องหนัง ไม้และกระดาษ วิศวกรรม เคมีภัณฑ์ การผสมโลหะและการถลุงแร่ แต่เวียดนามยังต้องการความช่วยเหลือด้านเทคโนโลยีความรู้ความชำนาญ การฝึกอบรมความรู้ด้านโรงงาน เครื่องจักรและเครื่องมือต่าง ๆ โดยเฉพาะด้านทุนที่จะมาลงในอุตสาหกรรม

ในด้านการก่อสร้างและอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว เวียดนามมีฝั่งทะเลยาว 3,200 กิโลเมตรและหาดทรายกว้างใหญ่ที่ยังคงสวยงามตามธรรมชาติหลายแห่ง โอกาสการลงทุนด้านนี้จึงเปิดกว้างมาก ได้แก่ การปรับปรุงและสร้างโรงแรมใหม่ ๆ โครงการก่อสร้างอาคารต่าง ๆ โครงการด้านการขนส่ง และโครงการพัฒนาแหล่งความบันเทิง

สิ่งหนึ่งที่เป็นความปรารถนาของรัฐบาลเวียดนามที่อำนวยประโยชน์ให้นักลงทุนชาวต่างชาติ และชาวเวียดนามเองจะเห็นได้จากกฎหมายว่าด้วยการลงทุนของชาวต่างชาติเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2530 และการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายดังกล่าวนี้เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2533 เกี่ยวกับเรื่องที่รัฐบาลให้ความมั่นใจว่าจะรับรองความยุติธรรมและปฏิบัติต่อนักลงทุนทุกคนโดยเสมอภาคกัน และกิจการที่ลงทุนโดยนักลงทุนต่างชาติไม่จัดเป็นของรัฐบาลเวียดนาม จะไม่ถูกยึดและโอนเป็นของรัฐบาลเวียดนาม นักลงทุนต่างชาติมีสิทธินำเงินทุนและผลกำไรกลับประเทศของตน และนักลงทุนต่างชาติจะลงทุนด้วยเงินทุนของตนเอง 100% ก็ได้

แต่เวีดยนามเองก็มีปัจจัยหลายประการที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการลงทุนหลายประการ ประการแรก เวียดนามมีถนนเป็นระยะทางยาวประมาณ 100,000 กิโลเมตร แต่ถนนเพียง 10-13% เท่านั้นที่มีพื้นผิวถนนที่แข็งแรง สะพานต่าง ๆ ส่วนใหญ่ถูกทำลายลงไประหว่างสงครามและสะพานที่สร้างขึ้นหลังจากนั้นล้วนแต่ด้อยคุณภาพ

ประการที่สอง เวียดนามมีทางรถไฟยาวประมาณ 3,000 กิโลเมตร แต่ทางรถไฟส่วนใหญ่มีขนาดแคบมากจึงเป็นตัวจำกัดความเร็วและความสามารถในการบรรทุกสินค้า

ประการที่สาม ท่าเรือของเวียดนามสามารถรองรับสินค้าได้เพียง 10 ล้านตันต่อปีเท่านั้น

ประการที่สี่ การสื่อสารโทรคมนาคมระหว่างประเทศของเวียดนามกำลังอยู่ในระหว่างการพัฒนา โดยบริษัทโทรคมนาคมระหว่างประเทศของออสเตรเลียได้เซ็นสัญญาติดตั้งสถานีส่งดาวเทียมภาคพื้นดินที่ทันสมัยในกรุงฮานอย และกรุงโฮจิมินห์เมื่อปลายปี 2533 ซึ่งเป็นที่คาดหมายกันว่า สถานีเหล่านี้จะช่วยพัฒนาระบบโทรศัพท์และระบบเทเล็กซ์ได้เป็นอย่างดี

ประการสุดท้าย คือความยากลำบากในการเริ่มต้นในทิศทางที่ถูกต้องและในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย การขออนุมัติจัดตั้งลงทุนในบางโครงการต้องติดต่อหลายกระทรวง หลายกรมกอง ความสลับซับซ้อนในระบบที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขให้นักลงทุนเสี่ยงต่อความล้มเหลว และความสูญเปล่าทั้งเวลาและเงินทอง

"สิ่งที่ควรคำนึงถึงสำหรับนักธุรกิจและนักอุตสาหกรรมของไทย คือ จะต้องพิจารณาการลงทุนในเวียดนามในระยะยาว และควรที่จะสร้างรากฐานที่มั่นคงในเวียดนามตั้งแต่ตอนนี้และควรตระหนักถึงความจริงที่ว่า เมื่อรัฐบาลสหรัฐอเมริกายกเลิกการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจต่อเวียดนาม บริษัทต่าง ๆ จากสหรัฐฯ และประเทศที่พัฒนาแล้วอื่น ๆ จะมุ่งสู่ประเทศเวียดนามเพื่อหาลู่ทางในการลงทุน และเมื่อถึงเวลานั้นอาจจะสายเกินไปสำหรับนักธุรกิจและนักอุตสาหกรรมของไทยเรา" ภูริพันธุ์ได้วิเคราะห์สถานการณ์และให้ข้อเสนอแนะจากประสบการณ์ที่ได้เรียนรู้และได้สัมผัสตลอดอายุการทำงานที่ผ่านมา

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us