Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน6 พฤศจิกายน 2550
ปัจจัยลบถล่มตลาดทุนโลก-หุ้นไทยรูด21จุด             
 


   
search resources

Stock Exchange




ตลาดหุ้นทั่วโลกป่วนหลังผลกระทบซับไพรม์ไม่หยุด ล่าสุดซีอีโอ"ซิตี้กรุ๊ป"ประกาศลาออก ขณะที่ตลาดหุ้นฮ่องกงทรุดหนัก 5% หลังผู้นำรัฐบาลจีนประกาศต้องพิจารณาให้รอบคอบก่อนให้นักลงทุนไปลงทุนในต่างประเทศ โดยตลาดหุ้นไทยรูด 21 จุดหลังฝรั่งกระหน่ำขายสุทธิกว่า 5.2 พันล้านบาท โบรกฯเตือนปัจจัยลบยังปกคลุมตลาดหุ้นเพียบ แนะนักลงทุนใช้ความระมัดระวังให้มากขึ้นหรือเลี่ยงถือเงินสด

ภาวะการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์วานนี้ (5 พ.ย.) ดัชนีปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงหลังมีแรงเทขายอย่างหนักโดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มพลังงานและกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ตอบรับการปรับตัวลดลงของตลาดหุ้นทั่วเอเชียหลังปรากฎข่าวในเชิงลบจากผลกระทบเกี่ยวกับปัญหาซับไพรม์ ที่ล่าสุดส่งผลทำให้ "ชาร์ลส์ พรินซ์" ซีอีโอของซิตี้กรุ๊ปประกาศลาออก ในขณะเดียวกันตลาดหุ้นเอเชียยังได้รับผลกระทบจากกรณีที่นายกรัฐมนตรีจีน ประกาศจะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบในการให้นักลงทุนจีนออกไปลงทุนในต่างประเทศซึ่งอาจทำให้การออกไปลงทุนในตลาดหุ้นฮ่องกงเลื่อนออก โดยดัชนีปรับตัวลดลงมาปิดที่ 872.86 จุด ลดลง 21.48 จุด หรือ 2.40% โดยจุดสูงสุดของวันอยู่ที่ 892.87 จุด และจุดต่ำสุดอยู่ที่ 871.82 จุด มูลค่าการซื้อขาย 19,162.10 ล้านบาท

ทั้งนี้นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 5,229.95 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 400.41 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 4,829.54 ล้านบาท

สำหรับหุ้นที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด ประกอบด้วยหุ้นบมจ.ปตท. หรือ PTT ราคาปิดที่ 386 บาท ลดลง 18 บาท หุ้น 4.46% มูลค่าการซื้อขาย 4,076.01 ล้านบาท, หุ้นบมจ.ปตท.ผลิตและสำรวจปิโตรเลียม หรือ PTTEP ราคาปิดที่ 151 บาท ลดลง 8 บาท หรือ 5.03% มูลค่าการซื้อขาย 2,151.12 ล้านบาท, หุ้นธนาคารกรุงเทพ หรือ BBL ราคาปิดที่ 119 บาท ลดลง 3 บาท หรือ 2.46% มูลค่าการซื้อขาย 1,099.48 ล้านบาท

นายอดิศักดิ์ คำมูล ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า วานนี้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปรับลดลงแรงตามตลาดหุ้นภูมิภาคและตลาดหุ้นทั่วโลก ซึ่งตลาดหุ้นในภูมิภาคปรับลดลงเฉลี่ย 2% โดยตลาดหุ้นฮั่งเส็ง ของฮ่องกง ปรับลดลงมากที่สุดถึง 5% ในขณะเดียวกันมีแรงเทขายในหุ้นกลุ่มหลักที่มีมาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่ เช่น กลุ่มพลังงาน และกลุ่มแบงก์

ทั้งนี้ การที่ดัชนีปรับลดลงแรงนั้น มีปัจจัยที่เข้ามากระทบสั้นๆ 3 ปัจจัยหลัก คือ ปัญหาเรื่องความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจภาคการเงินของสหรัฐอเมริกา เนื่องจากผลประกอบการกลุ่มธนาคารของสหรัฐที่ประกาศออกมาไม่ค่อยดี ทำให้นักลงทุนวิตกและขายหุ้นออกมา เพราะไม่แน่ใจว่าแนวโน้มปัญหาจากปัญหาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์คุณภาพต่ำ (ซับไพร์ม) จะส่งผลกระทบในวงกว้างต่อไปหรือไม่ และอาจจะกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมของสหรัฐ รวมถึงแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐในปีหน้าอาจจะชะลอตัวลดลง

นอกจากนี้ ปัจจัยจากราคาหุ้นในช่วงก่อนหน้าที่ปรับขึ้นมาค่อนข้างมีราคาสูงจนสูงกว่าราคาปัจจัยพื้นฐาน โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มพลังงาน จึงมีแรงขายทางเทคนิคออกมา ประกอบกับนักลงทุนมักจะขายทำกำไรในช่วงก่อนวันคริสต์มาส เพราะนักลงทุนบางส่วนจะหยุดพักผ่อนยาว ดังนั้นจึงขายหุ้นออกมาเพื่อเก็บเงินไว้และนำเงินไปใช้ในช่วงสิ้นปี รวมถึงขายเพื่อเพิ่มสภาพคล่องในช่วงสิ้นปี อย่างไรก็ดี ในช่วงหลังจากนี้ มองว่าจะเป็นการปรับตัวครั้งใหญ่ของหุ้น (Consolidation Period) ซึ่งจะเป็นช่วงปรับตัวก่อนสิ้นปี

สำหรับผลกระทบจากนโยบายเศรษฐกิจของจีน ซึ่งมีแนวโน้มว่าอาจจะชะลอเม็ดเงินลงทุนที่จะไหลออกนอกประเทศ จากก่อนหน้านี้ได้ประกาศเปิดทางให้มีการลงทุนในต่างประเทศได้ ทำให้แรงซื้อที่เข้ามาจากยุโรป รอที่เม็ดเงินจีนจะเข้าลงทุนหาย และการที่ตลาดหุ้นฮั่งเส็งในฮ่องกงปรับลดลงแรง เพราะได้รับผลกระทบจากปัจจัยดังกล่าว เนื่องจากนักลงทุนจากจีนลงทุนในฮ่องกงเป็นจำนวนมาก ซึ่งนโยบายเศรษฐกิจของจีนที่จะออกมานั้น หากเป็นเชิงลบก็จะส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นทั่วโลก และคาดว่านโยบายที่จะออกมาเพื่อสกัดความร้อนแรงของเศรษฐกิจที่มีความร้อนแรง และควบคุมเงินเฟ้อไม่ให้ปรับเพิ่มสูงขึ้น

ในส่วนของแนวโน้มการลงทุนในวันนี้คาดว่าดัชนีจะอยู่ในกรอบแนวรับที่ 860 จุด และแนวต้านที่ 883 จุด โดยแนะในระยะสั้นให้นักลงทุนที่หากมีกำไรอยู่ให้ขายทำกำไรออกมา และให้เฝ้าและติดตาม

ปัจจัยลบถล่มตลาดหุ้น

นายสุกิจ อุดมศิริกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.นครหลวงไทย กล่าวว่า คาดว่าจะแรงขายหุ้นขนาดใหญ่จากนักลงทุนต่างชาติออกมาอย่างต่อเนื่อง

หลังธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณที่จะไม่ลดดอกเบี้ยลงเร็วอย่างที่คาด ซึ่งอาจจะทำให้ค่าเงินดอลลาร์อาจไม่อ่อนค่าลงอย่างที่คาด ทำให้นักลงทุนต้องรอดูทิศทางอัตราดอกเบี้ยต่อไป

ทั้งนี้ การปรับลดอัตราดอกเบี้ยในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาของเฟดอีก 0.25% มาที่ 4.50% เป็นไปตามการคาดการณ์ของตลาด รวมทั้งลดอัตราดอกเบี้ยมาตรฐาน ลง 0.25% มาที่ 5.00% โดยเฟดระบุว่าความเสี่ยงเกี่ยวกับเงินเฟ้ออยู่ในระดับที่เท่าๆ กับความเสี่ยงช่วงขาลงของการขยายตัวทางเศรษฐกิจ

นายรณกฤต สารินวงศ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.แอ๊ดคินซัน กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเข้านี้ร่วงแรง ในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นในภูมิภาค ซึ่งถือว่าเป็นช่วงของการปรับฐานของตลาดหุ้นไทยด้วย ในขณะที่นักลงทุนยังวิตกกังวลเกี่ยวกับราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่อยู่ในระดับที่สูงเกินไป หวั่นว่าอาจจะไปส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวม ดังนั้นนักลงทุนจึงลดความเสี่ยงลงในช่วงนี้   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us