วันที่ 1-12 มิถุนายน 2535 คือช่วงเวลาที่จะมีการประชุมนานาชาติครั้งสำคัญเกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
โดยบรรดาประเทศต่าง ๆ ในแต่ละภูมิภาคจะต้องตกลงกันว่าจะจัดการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างไร
เพื่อนำไปสู่การพัฒนาแบบยั่งยืนหรือกระทั่งอาจจะหมายถึงเพื่อหาทางรอดให้กับมนุษยชาติและโลกใบนี้
การประชุมที่ว่าก็คือ การประชุมสหประชาชาติว่าด้วยสิ่งแวดล้อมและการพัฒนา
UNITED NAITONS CONFERENCE ON ENVIRONMENT AND DEVELOPMENT UNICED หรือที่เรียกกันว่า
"EARTH SUMMIT โดยมีองค์การสหประชาชาติเป็นเจ้าภาพจัดขึ้น ณ กรุงริโอ
เดอจาเนโร ประเทศบราซิล
ความคิดเริ่มต้นของการจัดการประชุมนี้เกิดขึ้นจากการตระหนักว่า ความเสื่อมทรามทางนิเวศวิทยาและสิ่งแวดล้อมด้านใดด้านหนึ่งนั้น
เป็นเรื่องที่ไม่มีขอบเขตอยู่เฉพาะที่เส้นพรมแดนแบ่งประเทศ หากแต่เป็นเรื่องที่โยงใยกันได้ทั้งโลก
ความตระหนักเช่นนี้ คือ สิ่งที่มีการอภิปรายกันอย่างจริงจังในการประชุมสหประชาชาติเมื่อเดือนธันวาคม
ปี 2532 อันเป็นการประชุมสามัญครั้งที่ 44 โดยที่ประชุมก็เห็นว่าการจะแก้ปัญหาด้านนี้ได้
ประชาคมโลกทั้งหมด จะต้องมีความตื่นตัวและร่วมมือ กันอย่างพร้อมเพรียงในแนวทางที่มีความสอดคล้องกัน
ดังนั้นการพบปะเพื่อถกเถียงและสร้างข้อตกลงในทางปฏิบัติจึงเป็น
ประเด็นทางด้านสิ่งแวดล้อมที่มีการยอมรับกันอย่างกว้างขวางว่าเป็นปัญหาระดับโลกในปัจจุบันหลักๆ
แล้วมีอยู่ 4 เรื่องด้วยกัน คือ เรื่องโอโซน เรื่องความหลากหลายทางชีวภาพ
เรื่องการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศและเรื่องกากเสียของวัตถุมีพิษ
ทางสหประชาชาติเริ่มให้ความสำคัญและหยิบยกประเด็นปัญหาสิ่งแวดล้อมเหล่านี้ขึ้นพิจารณาหลายปีมาแล้ว
และบางประเด็นก็มีการดำเนินการภาคปฏิบัติไปบ้าง โดยเฉพาะเรื่องโอโซนได้ก้าวไปถึงระดับที่มีข้อกำหนดผูกพันที่ชื่อว่า
"อนุสัญญากรุงเวียนนาเพื่อการพิทักษ์บรรยากาศชั้นโอโซน 1985" และ
"พิธีสารมอนทรีออลว่าด้วยสารทำลายชั้นโอโซน 1987" เกิดขึ้นแล้ว
โดยประเทศไทยก็ได้เข้าเป็นภาคีของทั้ง 2 ฉบับตั้งแต่เมื่อวันที่ 5 มีนาคม
2532
สำหรับการประชุมที่กรุงริโอในปีหน้า ประเด็นที่จะได้รับการเน้นหนักเป็นพิเศษก็คือ
ปัญหาการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศโลกและปัญหาการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ
ซึ่งเป็นที่คาดหมายกันว่า จะมีการผลักดันจนถึงขั้นที่นานาประเทศให้การรับรองต่ออนุสัญญาว่าด้วยทั้ง
2 เรื่องนี้ นอกจากนั้นก็คงจะมีการรับรองกฎบัตรโลก (EARTH CHARTER) และรับรองแผนปฏิบัติการสำหรับศตวรรษที่
21 (AGENDA 21) ด้วยเช่นกัน
ปัญหาเรื่องการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศได้รับการหยิบยกขึ้นสู่เวทีสมัชชาสหประชาชาติเมื่อปี
2531 โดยประเทศมอลตาเป็นผู้เสนอ จุดนี้เองทำให้เกิดองค์การ IPCC (INTERGOVERNMENTAL
PANEL ON CLIMATE CHANGE) ขึ้นทำงานเกี่ยวกับเรื่องนี้โดยตรง มีการประเมินทางด้านวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศตลอดจนถึงผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจ
จากผลการวิจัยศึกษาทำให้เป็นที่ยอมรับกันแล้วว่าสภาพภูมิอากาศของโลกนั้นมีแนวโน้มที่จะมีอุณหภูมิสูงขึ้น
หรือกล่าวอย่างง่าย ๆ ว่า นับวันโลกจะยิ่งร้อนขึ้น ทั้งนี้โดยมีสาเหตุมาจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
(GREENHOUSE GAS) ซึ่งมีตัวหลัก ๆ ก็คือ คาร์บอนไดออกไซด์ออกสู่อากาศในปริมาณมากเกินไป
ที่ผ่านมาได้เกิดการประชุมเคลื่อนไหวในระดับโลกเพื่อแสวงหาความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาเรื่องนี้หลายครั้งมาแล้ว
ไม่ว่าจะเป็นเมื่อเดือนกันยายน ปี 2533 เดือนตุลาคม - พฤศจิกายน ปีเดียวกัน
เดือนกุมภาพันธ์ ปี 2534 หรือเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ฯลฯ
แต่นอกเหนือจากเรื่องของการจัดองค์การการประชุม การกำหนดแนวทางเจรจาและการจัดตั้งคณะทำงานแล้วก็ยังไม่มีข้อตกลงอื่นใดที่ลงตัว
โดยประเทศสหรัฐฯ มหาอำนาจผู้ยิ่งใหญ่ของโลกไม่ยินยอมที่จะกำหนดขอบเขตการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
ในขณะที่ประเทศโลกที่ 3 ทั้งหลายก็พุ่งเป้าหมายไปในเรื่องของการถ่ายทอดเทคโนโลยี
รวมทั้งเรียกร้องถึงภาวะผ่อนปรนและเงื่อนไขพิเศษต่าง ๆ เพื่อให้การลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกได้โดยไม่มีผลกระทบต่อการพัฒนาประเทศ
เนื่องจากส่วนใหญ่แล้ว ก๊าซเรือนกระจกนั้นมาจากการผลิตและการใช้พลังงาน ถ้าต้องควบคุมก็ย่อมส่งผลกระทบในหลาย
ๆ มิติทีเดียว
โดยเฉพาะปัญหานี้ได้มีการผูกโยงเข้ากับประเด็นเรื่องพื้นที่ป่าไม้ด้วย กล่าวคือ
ป่าไม้นั้นมีส่วนช่วยดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ได้ ทำให้เกิดการประฌามต่อประเทศโลกที่
3 และเรียกร้องให้ยุติการทำลายพื้นที่ป่าพร้อมกับหาทางเพิ่มเติมพื้นที่ด้วย
ส่วนประเด็นเรื่องความหลากหลายทางชีวภาพนั้นเกี่ยวข้องกับเรื่องของพันธุ์พืช
พันธุ์สัตว์ จุลินทรีย์ ตลอดจนระบบนิเวศรวม ความหลากหลายมีความหมายรวมทั้งในเชิงจำนวนและในเชิงของความถี่
โดยที่ความหลากหลายของส่วนต่าง ๆ ในระบบธรรมชาติก็คือ ที่มาพื้นฐานของอาหารและยารักษาโรค
การสูญเสียซึ่งความหลากหลายลงไปย่อมส่งผลกระทบอันร้ายแรงแก่มนุษย์ได้
การตระหนักต่อปัญหาประเด็นนี้ก็ได้ฟักตัวมาระยะเวลาหนึ่งแล้วเช่นเดียวกัน
มีความพยายามที่จะกำหนดมาตรฐานระหว่างประเทศเพื่ออนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ
ด้วยการจัดทำเป็นอนุสัญญาอันมีผลบังคับใช้เป็นการทั่วไปมาแล้วบางฉบับ เช่น
อนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งพันธุ์พืชและพันธุ์สัตว์ที่ใกล้จะสูญพันธุ์
แต่กรอบบังคับไม่กว้างขวางพอ จึงมีการร่างอนุสัญญาว่าด้วยเรื่องนี้ที่มีความครอบคลุมมากขึ้นอีก
1 ฉบับ โดยขณะนี้อยู่ในขั้นของการพิจารณาครั้งที่ 3 ที่กรุงเจนีวา
ฉันทามติสำหรับการตกลงในประเด็นนี้นับว่าเกิดขึ้นได้ยากเช่นกัน เพราะเป็นประเด็นที่มีข้ออ่อนไหวในทางด้านผลประโยชน์ระหว่างประเทศโลกที่
1 ที่พัฒนาแล้ว กับประเทศโลกที่ 3 ที่กำลังพัฒนาอยู่มากมาย และอย่างค่อนข้างจะซับซ้อน
ทั้งเรื่องของเทคโนโลยีและลิขสิทธิ์ เนื่องจากส่วนใหญ่ของทรัพยากรที่เหลืออยู่บนผืนโลกใบนี้เป็นของประเทศโลกที่
3 ในขณะที่ความก้าวหน้าที่วิทยาการเป็นของประเทศโลกที่ 1 การจะต้องนำ 2 สิ่งมาผนวกกันจึงไม่ใช่เรื่องง่าย
หรือแม้แต่ระดับพื้นฐานมากกว่านั้น นั่นคือการเรียกร้องให้มีการพิทักษ์ความหลากหลายเอาไว้ให้มากที่สุดก็ยังก่อปัญหาได้มากมาย
ทรัพยากรนั้นร่อยหรอไปก็เพราะถูกใช้เป็นฐานการพัฒนา ส่วนความเสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้อมก็คือผลผลิตที่คู่ขนานมากับความเจริญก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ
ณ วันนี้โลกเริ่มรับรู้แล้วและกำลังแสวงหาแนวทางแก้ไข โดยเฉพาะประเทศโลกที่
1 จริงจังต่อปัญหาที่เกิดขึ้นนี้มาก การพัฒนาโดยอิงพิงฐานทรัพยากรของประเทศโลกที่
3 กลายเป็นความเลวร้ายอันจะต้องได้รับการปรับเปลี่ยน หรือเพิ่มเงื่อนไขให้สอดคล้องกับยุคสมัยใหม่อันเป็นยุคแห่งการพิทักษ์สิ่งแวดล้อม
แต่เงื่อนไขที่ได้รับการกำหนดขึ้นก็เสมือนเป็นบ่วงคล้องคอประเทศที่กำลังพัฒนา
ผู้ซึ่งแท้จริงแล้วก็เพียงแต่ก้าวเดินตามรอยเท้าของบรรดาประเทศที่พัฒนาแล้วนั่นเอง
การหันมาเชิดชูสิ่งแวดล้อม และพูดถึงการพัฒนาแบบยั่งยืนของสหประชาชาตินับว่าเป็นมิติใหม่ที่โดยเนื้อหาแล้วมีคุณค่าอย่างยิ่ง
ทว่าในขั้นการจัดการจะสามารถคงคุณค่าไว้ได้ด้วยการจัดกระบวนการอย่างมีความเป็นธรรมหรือไม่ออกจะมีความยุ่งยากมาก
อย่างไรก็ตาม...ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า ในส่วนของการจัดการนี้ย่อมจะเป็นบทพิสูจน์ถึงเจตนาที่แท้จริงของความมุ่งมั่นว่า
เรื่องสิ่งแวดล้อมจะต้องมาก่อนมากกว่าเท่าที่มีการประกาศชี้แจงออกมา
หากหวังจะให้การประชุม EARTH SUMMIT เป็นไปตามคาดหมาย คือ ไปไกลถึงขั้นที่มีการลงนามในข้อตกลงได้
การเจรจาต่อรองเพื่อหาทางประนีประนอมก็จะต้องลุล่วงไปก่อน
กว่าจะถึงเดือนมิถุนายนความเคลื่อนไหวในช่วงเวลานี้จึงนับว่าเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญยิ่งสำหรับทุก
ๆ ฝ่าย นอกจากกลยุทธ์ทางการเจรจาแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันก็คือ
ข้อมูลจากการศึกษาวิจัย
ในฐานะสมาชิกหน่วยหนึ่งของประชาคมโลกที่มีความผูกพันอยู่ด้วยทั้งในมิติทางการเมืองและเศรษฐกิจ
ประเทศไทยจำเป็นจะต้องเข้าร่วมกับการเคลื่อนไหวในแนวทางใหม่นี้ด้วย และในฐานะที่เป็นประเทศโลกที่
3 ก็คงจะยิ่งต้องเตรียมการให้พร้อมและเข้มแข็งที่สุด เพราะแม้จะเป็นเวทีที่มีจุดประสงค์ในทางการพิทักษ์โลกโดยรวมแต่ในแง่ของการทำความตกลงระหว่างกัน
เวทีนี้ก็ยังคงจะเต็มไปด้วยการเชือดเฉือนและแพรวพราวด้วยยุทธวิธีช่วงชิงผลประโยชน์ไม่ต่างจากการประชุมระดับโลกว่าด้วยเรื่องอื่น
ๆ แน่นอน