การเปิดตัวอย่างเป็นทางการในการตกลงใจร่วมลงทุนกับ "สโนว์แบรนด์"
ญี่ปุ่นของโอสถสภา (เต็กเฮงหยู) ที่ผ่านมานับเป็นการตัดสินใจที่พอจะกำหนดแนวทางการเดินทางสู่อนาคตการแข่งขันของโอสถสภาได้ว่า
จากนี้ไปอุตสาหกรรมอาหารจะกลายมาเป็นหัวใจสำคัญของการดำรงสถานะการเติบโตของบริษัท
จนอาจเป็นรายได้หลักที่จะเข้ามาทดแทนอุตสาหกรรมยา ซึ่งนับวันจะกลายเป็นตลาดที่เล่นยากขึ้นทุกทีก็ว่าได้
สโนว์แบรนด์มิลด์โปรดักส์ เป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมนมของประเทศญี่ปุ่น
กล่าวว่า ใหญ่โตกว่าเมจิเสียอีก ตามสถิติการจัดอันดับ 500 บริษัทของฟอร์จูนปี
1990 ได้จัดให้สโนว์แบรนด์มิลด์โปรดักส์ติดอยู่ในอันดับที่ 183 มียอดขายสูงถึง
7,188.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ มีกำไร 51.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
ในขณะที่เมจิมิลด์โปรดักส์ถูกจัดอยู่ในอันดับที่ 402 สร้างยอดขายต่อปีได้
3,145.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และมีกำไร 24.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
จากตัวเลขยอดขายได้แสดงให้เหนถึงความใหญ่โตของสโนว์ได้อย่างเด่นชัดแต่ถึงจะยักษ์ใหญ่กว่ากัน
อย่างไรก็ตามการก้าวเข้าสู่ตลาดเมืองไทยของสโนว์ที่เป็นไปอย่างเชื่องช้าจนล้าหลังกว่าคนอื่น
ก็ไม่อาจทำให้ความใหญ่โตของสโนว์สามารถสยบคู่แข่งได้
ว่ากันตามจริงแล้ว เมจิเข้าเมืองไทยโดยการจับมือร่วมค้ากับซีพีซึ่งเป็นยักษ์ใหญ่อุตสาหกรรมเกษตรอันดับ
3 ของโลกเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมาได้สร้างความฮือฮาในวงการอุตสาหกรรมนมสดเป็นอย่างยิ่ง
และถ้าจะว่าตามนโยบายของซีพีที่ทำอะไรเล็กไม่เป็นด้วยแล้วละก้อ ยิ่งกลายเป็นตัวสนับสนุนให้เมจิโด่งดังเร็วยิ่งขึ้น
แม้ว่าสโนว์แบรนด์เพิ่งจะเข้าสู่อุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์นมสดในตลาดร่วม 10,000
ล้านบาทในเมืองไทย (60% เป็นผลิตภัณฑ์นมสด 40% เป็นนมผงและนมข้น) อย่างครบวงจรโดยร่วมมือกับคนท้องถิ่นอย่างโอสถสภา
โดยการร่วมก่อตั้งบริษัทโอสถสภา สโนว์ถือหุ้น 4 ฝ่าย คือ บริษัทสโนว์แบรนด์มิลด์โปรดักส์
จำกัด ซูมิโตโม คอร์ปอร์เรชั่น ซูมิ - ไทย อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด และโอสถสภา
(เต็กเฮงหยู) ในอัตราส่วน 44% 5% 2% และ 49% ตามลำดับด้วยทุนจดทะเบียน 200
ล้านบาท
แต่ก็เป็นการลงทุนอย่างครบวงจร คือ มีโรงงานผลิตอยู่ที่ปากช่อง นครราชสีมา
บนพื้นที่ 50 ไร่ และมีตัวอาคาร 4,500 ตารางเมตร สุรัตน์ โอสถานุเคราะห์
เป็นประธานรกรมการ โทกิโนบุ ทานากา เป็นรองประธานกรรมการ ส่วนโนโบรุ ทาคากุ
เป็นกรรมการผู้จัดการในขณะที่รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายไทยกำลังรอการแต่งตั้ง
ซึ่งเป็นบุคคลที่บริหารงานบริษัทใหม่โดยตรงด้วย
ความล่าช้าของการร่วมมือนี้ ซึ่งกว่าจะตกลงกันได้ต้องใช้เวลาร่วม 5 ปีในการเจรจาต่อรองจนบรรลุเป้าหมายขั้นสุดท้ายเมื่อกลางเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมานี้
เหตุแห่งความล่าช้าในการเจรจาต่อรองนั้น ว่ากันว่ามาจากปัญหาข้อเดียว คือ
ต้องการจะเป็น MAJORITY ด้วยกันทั้ง 2 ฝ่าย ทั้งนี้เพราะญี่ปุ่นถือว่าตนเองเป็นฝ่ายนำ
KNOW HOW เข้ามาให้คนไทยได้เรียนรู้ ในขณะที่ฝ่ายไทยถือว่าตนเองมีตลาดที่ดีและเป็นคนท้องถิ่น
อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจร่วมมือกับคนท้องถิ่นแม้ไม่ใหญ่โตเทียบเท่าซีพี
แต่ก็มีประสบการณ์และความชำนาญงานในตลาดนมเป็นอย่างดี จึงเป็นข้อได้เปรียบจนอาจกลายเป็นจุดแข็งของสโนว์ก็ว่าได้
กล่าวได้ว่า โอสถสภาเป็นผู้บุกเบิกตลาดนมมาเป็นเวลาเกือบ 10 ปี เริ่มมาตั้งแต่ปี
2526 ซึ่งเป็นการเริ่มต้นเข้าสู่วงการตลาดนมสดอย่างจริงจังโดยการทำตลาดนม
"ไทย-เดนมาร์ก" ให้กับองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย
(อสค.)
ปัจจุบัน นมไทย-เดนมาร์ก เป็นผู้นำตลาดครองส่วนแบ่งการตลาด 45% จากมูลค่าตลาด
6,000 ล้านบาท (เฉพาะตลาดนมสด) อาจกล่าวได้ว่า ว นมไทย-เดนมาร์กเป็นตัวทำรายได้หลักให้กับไอเอ็มอินเตอร์เนชั่นแนล
ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของโอสถสภาเลยทีเดียว
แต่ก็เป็นที่น่าเสียดาย โอสถสภาทำหน้าที่เป็นเพียงมือปืนรับจ้างมาโดยตลอดเท่านั้น
ยังไม่ถึงการลงรากหยั่งลึกเพื่อสร้างฐานให้มั่นคง !!!!
ซึ่งหมายถึงการมีโรงงานผลิตและแบรนด์สินค้าเป็นของตนเอง
"สโนว์ " ไม่ใช่สินค้าชื่อใหม่ในตลาดนมเมืองไทย สโนว์เข้าเมืองไทยมานานโดยการนำเข้าผ่านทาง
ซูมิโตโม คอร์ปอเรชั่นจนมาอยู่ในมือของโอสถสภาเมื่อ 12 ปีที่ผ่านมาในรูปของตลาดนมผงทารกและเด็กเล็ก
ซึ่งถือว่าเป็นเจ้าตลาดนมผงทารกรายหนึ่งในตลาดนี้ ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของสุนทร
เก่งวิบูลย์ ผู้อำนวยการตลาด 3
ในโอสถสภา แบ่งกลุ่มสินค้าออกเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มผลิตภัณฑ์ตลาด 1 เป็นกลุ่มยาสามัญ
เช่น ทัมใจ โบตัน ยาหอม ยากฤษณากลั่น รวมทั้งกลุ่มเวชภัณฑ์ เป็นต้น ในกลุ่มยาสามัญ
โดยเฉพาะยาทัมใจ ทำรายได้เป็นอันดับ 2 ให้กับโอสถสภา คือ 900 ล้านบาท ในขณะที่กลุ่มผลิตภัณฑ์ตลาด
2 คือ ผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มเพื่อพลังงานและเครื่องดื่มเกลือแร่ เช่น ลิโพ
เอ็ม 100 เอ็ม 150 เป็นต้น ทำรายได้เป็นอันดับ 1 คือ 4,500 ล้านบาท
แต่ทั้ง 2 ตลาดเป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์สินค้าที่โดนมรสุมทางการเมืองเล่นงานในเรื่องของการผสมสารคาเฟอีนลงในเครื่องดื่มและยา
ว่ากันว่าเพราะสารคาเฟอีนทำให้ผู้บริโภคติดยาหรือเครื่องดื่มกันงอมแงม จึงส่งผลให้ยอดขายต่อปีเพิ่มขึ้นทวีคูณทำรายได้หลักเข้าบริษัท
ในขณะที่กลุ่มผลิตภัณฑ์ 3 ซึ่งเป็นสินค้าอุปโภคบริโภคเดินไปอย่างเรียบ ๆ
สินค้าแต่ละตัวไม่ค่อยจะประสบความสำเร็จเท่าที่ควร เช่น น้ำยาทำความสะอาดพื้นคอมพิวพ์
สบู่นางนวล เป็นต้น แต่ก็เรียกได้ว่ามีพระเอกของกลุ่มอยู่บ้าง คือ ผลิตภัณฑ์เบบี้มายด์
และฮูลา ฮูล่า ในปีที่ผ่านมาทำรายได้ 500 ล้านบาท
กล่าวได้ว่า เมื่อตัวทำรายได้หลักเกิดสะดุดปัญหาและมีทีท่าว่าจะถดถอยลงเรื่อย
ๆ ขณะเดียวกัน อสค.กำลังจะถูกแปรรูปจากกิจการของรัฐให้อยู่ในรูปของบริษัทโดยมีเอกชนเข้ามาถือหุ้นร่วม
ความเป็นมือปืนรับจ้างก็เริ่มเห็นลางจะจบสิ้นลงไปทุกที
นอกจากนี้ สัญญาว่าจ้างจัดจำหน่ายกำลังจะหมดลงในอีก 2 ปีข้างหน้า ไอเอ็มฯ
บริษัทในเครือซึ่งก่อตั้งขึ้นเพื่อขายนมโดยเฉพาะจะทำอย่างไร ?
จึงเป็นธรรมดาที่โอสถสภาจะหันหาสิ่งใหม่ที่ตนเองมีความชำนาญ มีประสบการณ์
มีช่องทางและการตลาดที่ดี จากความเสียเปรียบที่เริ่มต้นก้าวช้ากว่ารายอื่น
ๆ ในตลาด 6,000 ล้านบาท ก็อาจจะสามารถก้าวตามได้ทันท่วงทีเพราะโอสถสภาไม่ได้เริ่มจากศูนย์เหมือนอย่างที่ซีพี-เมจิเริ่มมาก่อน
ประเด็นที่น่าสนใจอีกประเด็นหนึ่ง คือ ศักยภาพของการเติบโตในตลาดนมสดมีเพิ่มมากขึ้นทุกวันจากปี
32 ตลาดมีอัตราขยายตัวเพียง 15% ทั้งระบบ (10,000 ล้านบาท) ก็เพิ่มขึ้นมาเป็น
20% ในปี 33 และในปี 34 แนวโน้มตลาดก็ยังคงมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
คาดว่าประมาณ 25-30% เลยทีเดียว ทั้งนี้เพราะผู้ค้าหน้าใหม่โดดเข้าสู่การแข่งขันในตลาดเพิ่มมากขึ้น
ขณะเดียวกันรัฐบาลก็ให้การส่งเสริมในการบริโภคนมอย่างจริงจัง เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว
ตลาดนี้จึงกลายเป็นธุรกิจที่น่าสนใจ
การลงทุนร่วมครั้งนี้ "โอสถสภา สโนว์" ทำอย่างครบวงจรด้วยเงินลงทุนเริ่มแรก
400 ล้านบาทในการสร้างโรงงานและซื้อเครื่องจักรเพื่อผลิตนม UHT ขนาดบรรจุกล่องเตตร้าบริค
250 มิลลิกรัม โดยตั้งเป้าหมายส่วนแบ่งการตลาดในปีแรกไว้เพียง 10% ของตลาดนม
UHT ซึ่งมีมูลค่า 2,500 ล้านบาท และหลังจากนั้นจะเพิ่มส่วนแบ่งขึ้นเรื่อย
ๆ
"การผลิตและการขายผลิตภัณฑ์นมนั้นจะเป็นไปตามการเติบโตของการทำฟาร์มโคนมในประเทศไทย
คาดว่าในอีก 5-10 ปีข้างหน้าจะเพิ่มการลงทุนอีก 300 ล้านบาท เพื่อขยายธุรกิจเข้าสู่การผลิตและขายผลิตภัณฑ์แช่แข็ง
เช่น ไอศกรีม ผลิตภัณฑ์นมแปรรูป (นมเปรี้ยว) และอื่น ๆ" แหล่งข่าวจากโอสถสภา
สโนว์ กล่าวกับ "ผู้จัดการ"
อุตสาหกรรมอาหารนับเป็นธุรกิจที่น่าจับตามอง เพราะนอกจากความเคลื่อนไหวยักษ์ใหญ่ในตลาดที่หันมาเล่นตลาดนี้กันมากขึ้น
อันเนื่องมาจากมาร์จิ้นของสินค้าสูงแล้ว ตลาดก็มีแต่จะขยายตัวเพิ่มขึ้นเรื่อย
ๆ ตามความต้องการของผู้บริโภคที่มีพฤติกรรมเปลี่ยนไปในทางใหการยอมรับในสินค้าเหล่านี้เพิ่มมากขึ้น