การขยายตัวของตลาดรสนิยมและความต้องการในสินค้าที่เปลี่ยนแปลงไป รวมถึงการส่งเสริมการขายซึ่งจะต้องเสียงบประมาณด้านค่าใช้จ่ายในปริมาณสูง
ไม่ว่าจะเป็นค่าตัวอย่างสินค้า ค่าโบรชัวร์ ค่าโฆษณา ค่าเดินทาง ค่าที่พัก
และอื่น ๆ อีกมากมาย จึงทำให้เกิดแนวความคิดในการทำธุรกิจใหม่ที่เรียกว่า
"PEGAVISION" ขึ้น
PEGAVISION เป็นบริษัทที่ก่อตั้งโดย PETER M. GANZ นักธุรกิจชาวสวิตเซอร์แลนด์
ซึ่งผ่านประสบการณ์ในการทำธุรกิจเทรดดิ้งมานานกว่า 25 ปี โดยเริ่มจากการเป็นลูกจ้างในบริษัทของชาวสวิสในประเทศศรีลังกา
ต่อมา ประมาณปี 2513 จึงได้ออกมาก่อตั้งธุรกิจของตนเองในนามบริษัท NOVIMEX
ที่ประเทศเกาหลีด้วยการทำเทรดดิ้งให้กับผลิตภัณฑ์ 3 ชนิด คือ ร่ม ตุ๊กตา
และกระเป๋า และได้ขยายสาขาออกไปหลายแห่ง เช่น ที่อเมริกา ฝรั่งเศส เยอรมนี
สวิส ฮ่องกง ไต้หวัน ฟิลิปปินส์ ปากีสถาน และกรุงเทพฯ
จนกระทั่งเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา จึงได้ขายกิจการ NOVIMEX ออกไป และเมื่อต้นปี
2534 PETER GANZ ได้ก่อตั้งบริษัท PEGALINK ขึ้นที่สวิสทำธุรกิจเหมือนกันกับ
NOVIMEX
จากประสบการณ์การทำธุรกิจเทรดดิ้งนี่เองทำให้ PETER GANZ ได้รู้จักกับบรรดาผู้ซื้อในยุโรปและได้เรียนรู้ถึงความต้องการของทั้งกลุ่มผู้ซื้อและผู้ขายจึงได้ตั้งบริษัท
PEGAVISION ขึ้น เพื่อทำธุรกิจในรูปแบบการตลาด และการโปรโมชั่นให้กับกลุ่มผู้ผลิตสินค้าอุตสาหกรรมในตลาดยุโรปและอเมริกา
โดยผ่านสื่อวิดีโอ
หลังจากเปิดตัวที่ประเทศสวิสแล้วก็ได้ขยายธุรกิจมายังแถบเอเชียด้วยการเปิดสาขา
PEGAVISION ขึ้นที่ฮ่องกง ปากีสถาน ไต้หวัน และไทย (เปิดดำเนินกิจการเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา)
ARTHUR P. WESTENEND ผู้จัดการสำนักงานตัวแทนของ PEGAVISION ในกรุงเทพฯ
พูดถึงการขยายบทบาทเข้ามาในแถบเอเชียว่า "การที่ผู้ซื้อทางยุโรปจะเดินทางเข้ามาหาผู้ผลิตทางแถบเอเชียไม่ใช่เรื่องง่าย
ในขณะที่ผู้ซื้อต้องการเดินทางมาติดต่อให้น้อยวันที่สุด แต่ต้องการเยี่ยมโรงงานให้ได้มากที่สุด
ซึ่งเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เพราะโรงงานแต่ละแห่งอยู่ไกลกันเกินกว่าจะใช้ระยะเวลาอันสั้นในการเดินทางได้
นอกจากนี้ ผู้ซื้อก็ไม่รู้ว่าโรงงานที่จะไปนั้นถูกต้องตามความต้องการหรือไม่
บางครั้งโรงงานอาจเล็กหรือใหญ่เกินไป สเป็กสินค้าก็ไม่ตรงกัน หรือสินค้าไม่มีคุณภาพ
ทำให้การเดินทางในครั้งนั้นต้องล้มเหลวหรือไม่ได้อะไรกลับไปเลย ในขณะที่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเดินทางมาสูงทีเดียว"
ดังนั้น PEGAVISION จะทำหน้าที่ในการช่วยย่นระยะเวลาในการนำผู้ผลิตไปพบกับผู้ซื้อด้วยการถ่ายทำโรงงานผู้ผลิตออกมาในรูปแบบของการใช้วิดีโอ
ซึ่งการถ่ายทำรายละเอียดของแต่ละโรงงานจะมีเนื้อหาสาระครบทุกอย่างตั้งแต่โรงงานทำอะไร
สินค้าโรงงานคืออะไร โรงงานนั้นมีอะไรเป็นพิเศษ ชื่อเจ้าของ ที่อยู่เบอร์โทรศัพท์
และสถานที่ติดต่อ รวมถึงการถ่ายภาพสินค้าภายในโรงงาน บริเวณโรงงาน และขั้นตอนการผลิตที่สำคัญ
เช่น การเช็กคุณภาพสินค้า
ฟิล์มที่ถ่ายทำเสร็จจะถูกส่งไปที่สตูดิโอในยุโรปเพื่อทำการตัดต่อ อัดเสียงประกอบ
และดนตรีทำไตเติ้ล โดยให้เนื้อหาของแต่ละโรงงานมีความยาวประมาณ 3-3 นาทีครึ่ง
ซึ่งถือว่าเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดที่นักธุรกิจจะให้ความสนใจ
วิดีโอที่เสร็จสมบูรณ์จะถูกส่งไปพร้อมกับแคตาล็อก และโบรชัวร์ นามบัตรของเจ้าของ
และรายละเอียดโดยย่อของโรงงาน ซึ่งทั้งหมดนี้จะถูกส่งถึงมือผู้ซื้อ ซึ่งเป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์เดียวกับที่โรงงานผลิตโดยตรงอย่างน้อย
75 ราย (เป็นการรับประกัน) และก่อนที่จะส่งไปทางบริษัทจะนำรายชื่อของผู้ซื้อในยุโรปให้กับผู้ผลิตเพื่อให้ทั้ง
2 ฝ่ายได้ติดต่อกันเองง่ายขึ้น
จุดขายที่สำคัญของ PEGAVISION ก็คือการมีรายชื่อของกลุ่มผู้ซื้อสินค้าในยุโรปมากกว่า
22,000 ราย โดยแยกเป็นกลุ่มประเภทธุรกิจได้ถึง 18 กลุ่ม อย่างเช่น สิ่งทอ
เฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ เครื่องประดับ กระเป๋า ตุ๊กตา ของเล่น อาหาร เป็นต้น
ซึ่งกลุ่มผู้ซื้อเหล่านี้เป็นกลุ่มที่ได้มีการทำวิจัยตลาดมาแล้วว่ามีความต้องการมาหาผู้ผลิตทางแถบนี้
ในขณะที่ PEGAVISION เป็นเพียงผู้ทำวิดีโอส่งไปให้เท่านั้น
ค่าใช้จ่ายในการบริการผลิตวิดีโอซึ่งรวมไปถึงค่าใช้จ่ายในการแจกจ่ายวิดีโอให้ถึงมือลูกค้า
ทางโรงงานผู้ผลิตจะเป็นผู้จ่ายโดยคิดเป็นอัตรา 4,000 เหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ
75,000 บาท ในขณะที่ผู้ซื้อแต่ละรายจะต้องจ่าย 50 เหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ
1,250 บาทต่อวิดีโอโรงงานผู้ผลิต 1 แห่ง โดยที่ PEGAVISION จะมีรายชื่อวิดีโอของโรงงานผู้ผลิตจากประเทศไทยส่งไปให้ผู้ซื้อทางยุโรปให้เป็นผู้เลือกมา
เป็นการสื่อสารโดยตรงที่จะก่อให้เกิดความเชื่อถือระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายในขณะที่ต้นทุนต่ำ
แต่ได้ผลตลอดไป สำหรับอนาคตเมื่อมีการขยายตลาดเข้าไปในอเมริกาและแอฟริกาใต้
ผู้ซื้อกลุ่มใหม่ก็มีโอกาสที่จะได้เห็นวิดีโอของผู้ผลิตชุดนี้เช่นกัน"
อาเธอร์พูดถึงความมั่นใจว่าผลงานด้านนี้จะเป็นประโยชน์ต่อกลยุทธ์ทางการตลาดของบริษัทผู้ผลิต
สำหรับเป้าหมายของ PEGAVISION ในประเทศไทยนั้นสามารถที่จะให้บริการกับผู้ผลิตอุตสาหกรรมอย่างน้อย
100 ราย โดยมีลูกค้าในปัจจุบัน คือ GUETHART DEKOR, THAI DAVID และ JACKY
MAEDER