Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ พฤศจิกายน 2550








 
นิตยสารผู้จัดการ พฤศจิกายน 2550
สีสันและรสชาติของฤดูใบไม้ร่วง             
โดย มานิตา เข็มทอง
 





ฤดูกาลที่คนไทยเรียก "ฤดูใบไม้ร่วง" คนอังกฤษเรียก "ออทัมน์" (Autumn) และคนอเมริกันเรียก "ฟอล" (Fall) ล้วนหมายถึงฤดูกาลเดียวกัน คือฤดูกาลแห่งการเปลี่ยนแปลงจากร้อนเข้าสู่หนาว ใบไม้เริ่มเปลี่ยนสีจากสีเขียวชอุ่ม เป็นสีเหลืองทอง สีแดง สีน้ำตาล และหลุดร่วงไปทีละใบ จนในที่สุดคงไว้แต่กิ่ง ก้าน และลำต้น ที่รอเวลากลับคืนชีวิตมาใหม่ในฤดูกาลต่อไป ซึ่งต้นไม้แต่ละต้นจะมีระยะเวลาในการเปลี่ยนสีและผลัดใบที่แตกต่างกัน ทำให้ทัศนียภาพในฤดูกาลนี้สวยงามมีเสน่ห์ไปอีกแบบหนึ่ง เหมาะแก่การท่องเที่ยว

สำหรับทวีปอเมริกาเหนือ ซึ่งอยู่ในซีกโลก เหนือ ฤดูใบไม้ร่วงจะเริ่มตั้งแต่ประมาณวันที่ 22 ของเดือนกันยายน หรือที่เรียกอย่างเป็นทางการว่า "Fall Equinox" ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่กลางวันและกลางคืนยาวเท่ากัน จากนั้นเวลากลางวันจะเริ่มสั้นลง จนกระทั่งประมาณวันที่ 21 ของเดือนธันวาคม จะเป็นวันที่มีช่วงเวลา กลางวันสั้นที่สุด เรียกอย่างเป็นทางการว่า "Winter Solstice" ซึ่งเป็นเวลาที่ดวงอาทิตย์โคจรห่างจากเส้นศูนย์สูตรมากที่สุดนั่นเอง อันเป็นการเริ่มต้นฤดูหนาว

นอกจากนี้ ฤดูใบไม้ร่วงยังเป็นฤดูกาล แห่งการเก็บเกี่ยวพืชพันธุ์ทางการเกษตร ไม่ว่า จะเป็นข้าวโพด ถั่วเหลือง ฟักทอง แอปเปิล เป็นฤดูกาลแห่งการขอบคุณธรรมชาติในเทศกาล Thanksgiving (อ่านเพิ่มเติมได้จากฉบับพฤศจิกายน 2547)

เป็นฤดูกาลแห่งความสนุกสนานในเทศกาล Halloween นอกจากเทศกาลเหล่านี้ การไปเที่ยวสวนแอปเปิลในสหรัฐอเมริกา ยังเป็นอีกกิจกรรมหนึ่งที่เติมเสน่ห์และชีวิตชีวาให้กับฤดูใบไม้ร่วง ในช่วงเริ่มต้นฤดู บรรดาเจ้าของสวนแอปเปิลทั้งหลายจะเปิดสวนให้ผู้คนเข้าไปเลือกเก็บแอปเปิลได้ตามอัธยาศัย แต่เมื่อถึงเวลาจะนำกลับบ้านจะต้องนำแอปเปิลที่เก็บได้มาชั่งน้ำหนักและจ่ายตามราคาที่กำหนดไว้

จากข้อมูลสถิติล่าสุดขององค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) แสดงให้เห็นว่า ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นผู้ผลิตแอปเปิลอันดับ 2 ของโลก รองจากประเทศจีน แอปเปิลที่ดีที่สุดมาจากมลรัฐ วอชิงตัน ทางทิศตะวันตกของสหรัฐฯ ซึ่งเป็น แหล่งผลิตแอปเปิลที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกา และ โดยเฉลี่ยคนอเมริกันบริโภคแอปเปิลคนละ 19 ปอนด์ต่อปี

แอปเปิลในสหรัฐฯ มีหลากหลายพันธุ์ ให้เลือก เพื่อนำไปบริโภคได้อย่างเหมาะสมและได้รสชาติที่ดีที่สุด นับตั้งแต่พันธุ์ Red Delicious มีผลสีแดงเข้ม กรอบ หวาน เป็นที่นิยมบริโภคมาก มีให้บริโภคตลอดทั้งปี เหมาะรับประทานสด แต่ไม่เหมาะที่จะนำมาอบ หรือทำให้สุก พันธุ์ Golden Delicious ผลมีสีเหลืองอ่อน เนื้อกรอบหวาน มีตลอดปีเช่นกัน เหมาะเป็นอาหารว่าง รับประทานสดๆ และประเภทนี้สามารถทำให้สุกได้ หากจะทำไส้พายด้วยแอปเปิลชนิดนี้ ไม่จำเป็นต้อง เพิ่มน้ำตาลมากเลย เนื่องจาก มีรสหวานธรรมชาติช่วยอยู่แล้ว พันธุ์ Honeycrisp เป็นพันธุ์ที่ พัฒนาโดยศูนย์วิจัยและทดลอง พืชสวนแห่งมหาวิทยาลัยมินเน- โซตา ออกสู่ท้องตลาดเมื่อปี 1991

เมื่อปี 2006 ที่ผ่านมา แอปเปิล Honey- crisp ได้รับเลือกให้เป็นผลไม้ประจำรัฐมินเน-โซตา แอปเปิลชนิดนี้มีสีแดงอมเหลือง ผิวไม่ค่อยเรียบ มีรอยบุ๋มตื้นๆ อยู่โดยทั่ว เนื้อค่อน ข้างกรอบ ฉ่ำ หวาน เหมาะสำหรับทานสดๆ หรือทำขนมอบ จะออกสู่ตลาดในช่วงปลายกันยายน พันธุ์ Golden Supreme มีเฉดสีตั้งแต่เขียวอมเหลืองไปจนถึงน้ำตาลทอง ปลายสิงหาคมเริ่มมีให้บริโภค มีเนื้อแข็งกรอบ หวาน บริโภคได้หลายวิธี ตั้งแต่รับประทานสด อบ ไปจนถึงคั้นเป็นน้ำแอปเปิล หรือที่เรียกว่า แอปเปิลไซเดอร์ (Apple Cider)

พันธุ์ Cortland เป็นพันธุ์พัฒนาขึ้นที่ศูนย์ทดลองการเกษตร แห่งมลรัฐนิวยอร์ก ตั้งแต่ปี 1898 เป็นการผสมข้ามพันธุ์ระหว่างพันธุ์ Ben David กับพันธุ์ McIntosh ออกมาเป็นแอปเปิลที่มีผิวสีแดงเข้มปนเหลืองในพื้นหลัง และมีจุดสีเขียวเทาปรากฏอยู่ทั่ว มีเนื้อสีขาวรสหวานอมเปรี้ยว เหมาะสำหรับทำสลัด เนื่องจากเนื้อสีขาวจะไม่เปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลเหมือนพันธุ์อื่นๆ และเหมาะสำหรับทำขนมอบด้วย Cortland จะมีในช่วงกันยายนไปถึงเมษายน

พันธุ์ Jonagold เป็นการผสมข้ามพันธุ์ ระหว่างพันธุ์ Jonathan กับพันธุ์ Golden Delicious ผลิตออกมาเป็นแอปเปิลลูกโต มีผิวสีเหลืองอมเขียวปนแดงอมส้มทั่วทั้งผล เหมาะสำหรับเป็นอาหารว่างและอบ จะออกมาในช่วงเดือนตุลาคมถึงเดือนกรกฎาคม

พันธุ์ Spartan มีผิวสีแดงสด มาจากแคนาดา ตระกูลเดียวกับพันธุ์ McIntosh มีเนื้อสีขาวราวกับหิมะ สามารถบริโภคได้ทุกวิธีและสามารถเก็บไว้ได้นาน จะออกมาในช่วง เดือนพฤศจิกายนถึงมกราคม พันธุ์ McIntosh ไม่ใช่คอมพิวเตอร์ แต่เป็นผลไม้สัญชาติแคนาดา ที่ค้นพบโดย John McIntoch ตั้งแต่ปี 1811 มีผิวสีแดงเข้มอมเขียว มีรสเปรี้ยว เหมาะสำหรับเป็นอาหารว่าง และทำซอสแอปเปิล มีให้บริโภคตั้งแต่กันยายนถึงพฤษภาคม

พันธุ์สุดท้ายในที่นี้คือ พันธุ์ Fuji เป็นที่นิยมทั่วโลก แม้จะไม่ได้กำเนิดในอเมริกา เหนือ แต่ก็ได้ต้นพันธุ์ไปจากอเมริกา คือเป็น การผสมระหว่างพันธุ์ Red Delicious กับพันธุ์ Virginia Ralls Genet หรือ Rawls Jennet การพัฒนาพันธุ์ Fuji นี้เกิดขึ้นที่ศูนย์วิจัย Tohoku เมือง Morioka ประเทศญี่ปุ่น เมื่อปี 1962 ปัจจุบันสวนแอปเปิลในอเมริกาปลูกพันธุ์นี้เป็นจำนวนมาก

เนื่องจากมีผลโต รสหวาน กรอบ เนื้อ ไม่แข็งมาก รสชาติดี จึงเป็นที่นิยมมากในหมู่ ผู้บริโภค เหมาะที่จะรับประทานสดๆ มากกว่าที่จะนำมาอบ ไม่เพียงแค่แอปเปิลเท่านั้นที่สวนเหล่านี้มีไว้ให้เก็บจากต้น แต่ยังมีทุ่งฟักทองอันกว้างใหญ่ รอให้ผู้คนมาเก็บเกี่ยว เพื่อนำมาประดับหน้าบ้านในช่วงฤดูกาลใบไม้ร่วง อันเป็นการเพิ่มสีสันให้บ้านคงดูสดใส อบอุ่น แม้ต้นไม้อื่นจะเริ่มผลัดใบร่วงโรยไป

ข้อมูล : นิตยสาร Backyard Living   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us