เมื่อออกจากบ้าน พอเจอควันรถ ก็เกิดอาการแสบตา ตาแดง น้ำตาไหล หรือบางคนรู้สึกแสบคันและระคายเคืองบริเวณผิวหนัง
ฯลฯ
นี่เป็นชะตาของชาวกรุงและคนเมืองใหญ่ที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ในปัจจุบัน อันเป็นผลจากการพัฒนาประเทศทีเน้นหนักด้านวัตถุโดยไม่มีแผนระยะยาว
เหล่านี้เป็นเพียงอาการเบื้องต้นซึ่งจะเกิดขึ้นอยู่เสมอจากปริมาณกำมะถันในน้ำมันดีเซลที่กระจายแผ่คลุมบรรยากาศ
ใครที่หายใจเอากำมะถันเข้าไปมาก ๆ จะทำให้หลอดลมอักเสบ หรือบ่อยเข้าก็จะทำให้โลหิตจาง
อันเป็นเตุให้สุขภาพเสื่อมทรุดลงเป็นลำดับ
ขณะที่ความต้องการใช้น้ำมันดีเซลมีปริมาณมาก ไม่ว่าจะเป็นรถบรรทุก รถกระบะ
โดยเฉพาะรถโดยสาร หรือขสมก.ในกรุงเทพฯ เมื่อผนวกกับกำมะถันในดีเซลแต่ละลิตรแล้ว
ยิ่งทำให้ปริมาณกำมะถันในบรรยากาศเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
ถ้าพูดถึงมาตรฐานกำมะถันในดีเซลของประเทศที่พัฒนาและให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมแล้วจะไม่เกิน
0.50% ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มประเทศในยุโรปหรือย่านอเมริกา ดีเซลที่ใช้จะมีกำมะถันไม่เกิน
0.30% เป็นส่วนใหญ่ โดยเฉพาะรัฐแคลิฟอร์เนียได้กำหนดให้มีกำมะถันเพียง 0.05%
ในปี 2534
ยกเว้นบางประเทศที่สูงกว่า 0.50% เช่น ตุรกี เวเนซูเอล่า
ทางด้านประเทศในภูมิภาคเอเชีย ดีเซลจะมีกำมะถันไม่เกิน 0.40%
ส่วนของไทย กระทรวงพาณิชย์กำหนดสเปกปริมาณกำมะถันไว้ที่ 1.00% ซึ่งสูงกว่าประเทศอื่นในโลก
โดยโรงกลั่นบางจากและโรงกลั่นเอสโซ่จะกลั่นดีเซลระดับกำมะถันประมาณ 0.80-0.90%
มีโรงกลั่นไทยออยล์ที่กลั่นดีเซลกำมะถันต่ำ 0.40% ตั้งแต่ปีก่อน
นับเป็นการชูธงคุณภาพดีเซลของไทยออยล์เต็มตัว ทั้งที่รัฐบาลประกาศให้มีผลบังคับใช้สเปกนี้
(0.5%) ในวันที่ 1 กันยายน 2536
อนึ่ง การกลั่นน้ำมันแต่ละชนิด ตามธรรมดาโรงกลั่นจะกลั่นสูงกว่าสเปกไว้เล้กน้อย
เพื่อเป็นหลักประกันต่อคุณภาพอย่างแน่นอน หรือเป็นการเผื่อเหนียวนั่นเอง
ผลงานชิ้นนี้เป็นไปตามแผนพัฒนาและเพิ่มกำลังการกลั่นของไทยออยล์ในหน่วยกลั่นที่เรียกว่า
TOC-3 หรือหน่วย CCR ซึ่งไม่เพียงแต่จะแปรสภาพน้ำมันหนักอย่างน้ำมันเตามาเป็นน้ำมันเบาอย่างดีเซลเท่านั้น
แต่เป็นดีเซลที่มีกำมะถันต่ำดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม ดีเซลกำมะถันต่ำจะมีต้นทุนเพิ่มขึ้นประมาณ 3 สตางค์ต่อลิตร
เพื่อมิให้ไทยออยล์ต้องขึ้นราคาและผลักภาระราคาดีเซลกำมะถันต่ำแก่ผู้บริโภค
รัฐบาลจึงชดเชยให้ลิตรละ 3 สตางค์
ขณะที่ดีกรีความเป็นพิษของอากาศทับทวีขึ้นทุกวัน ล่าสุดทางสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
(สพง.) ได้เตรียมแผนกำหนดจะให้ดีเซลมีกำมะถัน 0.5% ซึ่งคาดว่าจะประกาศใช้เร็ว
ๆ นี้ แม้ว่าอีก 2 โรงกลั่นจะยังกลั่นไม่ได้ก็ตาม
ในช่วงแรกก่อนถึงวันที่ 1 กันยายน 2536 สพง.จะผ่อนปรนให้โรงกลั่นบางจากและโรงกลั่นเอสโซ่
ตลอดจนผู้ค้าน้ำมันรายอื่นนำเข้าน้ำมันดีเซลได้ โดยกำหนดเป็นดีเซลกำมะถันต่ำ
0.5% เท่านั้น เพราะปกติดีเซลเป็นน้ำมันที่ไทยต้องนำเข้าถึง 50% ของความต้องการดีเซลทั้งหมดอยู่แล้ว
ก่อนที่ทั้ง 2 โรงกลั่นจะปรับปรุงและติดตั้งหน่วยกลั่นที่กลั่นดีเซลกำมะถันต่ำตามกำหนดวไ
ทั้งนี้ เมื่อกำหนดใช้สเปกดีเซลกำมะถันต่ำก่อน กำหนดในปี 2536 รัฐบาลจะเป็นผู้ชดเชยต้นทุนส่วนต่างที่เพิ่มขึ้นประมาณ
3 สตางค์ต่อลิตรเหมือนกับที่ปฏิบัติต่อไทยออยล์
นี่เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งของการเป็นผู้นำด้านคุณภาพของไทยออยล์ในช่วงครบรอบ
30 ปีในปีนี้ นอกจากนี้ ไทยออยล์ยังพร้อมที่จะลดอุณหภูมิการกลั่นดีเซลจาก
370 มาเป็น 357 ได้ทันที หากรัฐบาลมีนโยบายอย่างนี้ เพราะแม้จะทำให้ปริมาณดีเซลลดลง
7% จากการลดอุณหภูมิการกลั่น แต่ละช่วยลดปริมาณควันดำ ซึ่งเป็นวิธีการหนึ่งที่จะส่งผลให้มลพิษในบรรยากาศลดลงด้วย
จากนั้นก็จะเป็นแผนพัฒนาคุณภาพน้ำมันเตาในลำดับถัดไป ซึ่งไม่รวมถึงแผนการเพิ่มกำลังกลั่นเมื่อหน่วยกลั่นที่
4 เริ่มกลั่นได้ในกลางปีหน้าแล้ว ไทยออยล์จะมีกำลังกลั่นสูงถึง 190,000 บาร์เรลต่อวัน
จัดเป็นโรงกลั่นที่ใหญ่และทันสมัยที่สุดในประเทศ
น้ำมันดีเซลกำมะถันต่ำ จึงกลายเป็นความภูมิใจเงียบ ๆ ของไทยออยล์กับการฉลองครบรอบ
30 ปีเป็นการภายในด้วยการตั้งกองทุนสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรีฯ เป็นกองทุนการศึกษาที่ตั้งขึ้นเพื่อเทิดพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ
สยามบรมราชกุมารี ซึ่งจะพระราชทานแก่บุคคลทั่วไปโดยไม่จำกัดระดับการศึกษา
สาขาวิชาทั้งในและต่างประเทศ
ดังนั้น "ไม่ว่าไทยออยล์จะได้รับอนุมัติให้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์หรือไม่ก็ตาม
เพราะต้องขึ้นอยู่กับนโยบายของรัฐบาลแต่ละสมัยเป็นสำคัญ แต่คุณภาพน้ำมันเป็นเป้าหมายหลักของไทยออยล์ตลอดไป"
แหล่งข่าวระดับสูงจากไทยออยล์กล่าว...!