|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ ฉบับ พฤศจิกายน 2550
|
|
ข้อมูลของธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) ที่พูดถึงแนวโน้มเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทย ปี 2551 เรียกได้ว่าเป็นสัญญาณเตือนภัยให้กับนักธุรกิจไทยที่ต้องเร่งปรับตัวกันค่อนข้างมาก เพราะในปีหน้าธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ดถึงกับฟันธงว่าการส่งออกของไทยจะเหลือแค่ 8% จะเห็นการขาดดุล และการเคลื่อนย้ายทุนรุนแรงขึ้น
ไท ฮุย หัวหน้างานวิจัยเศรษฐกิจระดับ ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด กำลังชี้ให้เห็นว่าเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาในปีหน้ามีแนวโน้ม ชะลอตัวอย่างแน่นอน โดยมีเหตุผลสนับสนุน 3 ส่วน ด้วยกัน 1. ปัญหาซัพไพร์ม ที่เกิดจาก ภาคอสังหาริมทรัพย์ตกต่ำ 2. อัตราการว่างงานเพิ่มขึ้น และสุดท้าย การบริโภคมีการชะลอตัว
แม้ว่าธนาคารกลางหรือเฟดของสหรัฐอเมริกา จะพยายามแก้ปัญหาโดยการลดอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่อง และคาดว่าจะลดอีก 2 ครั้งในเดือนตุลาคมและธันวาคมนี้
สิ่งที่เกิดขึ้นกับอเมริกา อุสรา วิไลพิชญ์ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด จึงตั้งโจทย์ขึ้นมาว่า ถ้าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอตัว สิ่งที่ไทยจะได้รับผลกระทบนั้นมีหลายด้าน โดยเฉพาะภาคส่งออก ที่ไทยส่งออกไปสหรัฐอเมริกาจำนวน 15% จากมูลค่าการส่งออกรวม
แต่อุสราบอกว่าตัวเลขการส่งออกที่แท้จริงของไทยไปสหรัฐ อเมริกาจะอยู่ที่ 35% ซึ่งเกิดจากบางประเทศที่นำเข้าสินค้าจากไทย ไปผลิตเป็นสินค้าอีกครั้งหนึ่ง หรือที่เรียกกันว่า re-export ดังนั้นผลกระทบที่ได้รับจึงเพิ่มขึ้น จนทำให้ในปีหน้าภาคการส่งออกจะลดลงเหลือเพียง 8% จากปีนี้ที่มีอัตราการเติบโตโดยเฉลี่ย 10-12%
สัญญาณต่อไปคือดุลบัญชีเดินสะพัดจะลดลง เป็นเพราะว่า การส่งออกในปีหน้าจะลดลง แต่การนำเข้ากลับจะเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะน้ำมันที่นำเข้าในแต่ละปีมีจำนวนมากจนส่งผลให้มีการขาดดุล ถึง 2.5 พันล้านบาท เทียบกับเกินดุลในปีนี้ 4.8%
ส่วนค่าเงินบาทคาดว่าจะอ่อนลงไประดับที่ใกล้ๆ กับ 35 บาทต่อหนึ่งดอลลาร์สหรัฐภายในปีนี้ และจะอ่อนค่าลงไปอีกในครึ่งปีหน้าเป็น 36.5 บาท ส่วนที่ว่าจะมีความเป็นได้อีกหรือไม่ที่ค่าเงินจะแข็ง อุสรามองว่าเงินบาทที่แข็งค่ามากที่สุด 33.2 บาทเมื่อเดือนสิงหาคม ได้ผ่านไปแล้ว และมีความเป็นไปได้น้อยมากที่จะเห็นค่าเงินลงไปในระดับนั้นอีกรอบหนึ่ง
การเคลื่อนย้ายเงินทุนจะผันผวนค่อนข้างมาก โดยให้สังเกต ที่ตลาดหุ้นที่มีการซื้อขายเพิ่มสูงขึ้น แต่ในส่วนของผู้ซื้อต่างประเทศจะขายเพื่อทำกำไรและนำเงินเข้าไปอุดรอยรั่วของตลาดซัพไพร์มอีก เพราะปัญหายังไม่จบและอาจมีผลกระทบรอบ 2 ที่ว่ากันว่าอาจใช้เวลาถึง 18 เดือนนับจากนี้ไป
อุสราบอกว่าสิ่งที่น่าเป็นห่วงอีกเรื่องหนึ่งคือการปล่อยสินเชื่อ ของธนาคารในประเทศในปีนี้น้อยลงมากเหลือเพียงแค่ 2% เมื่อเปรียบ เทียบกับปีก่อนที่มีถึง 7-8% แสดงให้เห็นว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ย นโยบายเหลือ 3.25% ไม่สร้างความเชื่อมั่นให้กับธนาคารที่มีต่อเศรษฐกิจโดยรวมในปัจจุบัน ที่สำคัญคือภาคเอกชนที่มีการลงทุนน้อยมาก
ปัญหาที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในปีหน้าทำให้ธนาคารสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ดเสนอแนะให้ยกเลิกมาตรการการกันเงินสำรอง 30% และ เปิดทางให้เงินทุนต่างประเทศเข้ามาเพื่อรองรับตลาดพันธบัตรใหม่ๆ ที่จะเพิ่มมากขึ้นในอนาคต
ที่สำคัญถ้ามองภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปีหน้าแล้วดูเหมือนว่า ยังไม่มีอะไรดีขึ้น เพราะราคาน้ำมันและสินค้าอุปโภคบริโภคจ่อคิวขึ้น ราคากันเป็นหางว่าวทีเดียว
|
|
|
|
|