การเป็นราชากาสิโนมาเก๊าและเจ้าของธุรกิจแทบทุกประเภทบนเกาะสวรรค์ของนักพนัน"
แห่งนี้สแตนลีย์ โฮโนวัย 67 ปี ณ วันนี้ยังไม่รู้สึก "พอ" กับอาณาจักรธุรกิจในมือของตน
ล่าสุดกำลังเจรจาจับมือกับ สวัสดิ์ หอรุ่งเรือง ประธานกรรมการบริษัทนครไทยสตีลเวิร์คร่วมลงทุนในโครงการนิคมอุตสหกรรมเหมราชที่ชลบุรี
นี่ยังไม่ได้หมายรวมถึงความในใจของเขาที่คิดจะเปิดกิจการกาสิโนสักแห่งที่พัทยาบ้านเรากับที่โฮจิมินห์
ซิตี้, เวียดนาม ทั้งที่ปัจจุบันเขาเป็นเจ้าบ่อนกาสิโนอยู่ถึง 5 แห่งแล้ว
สแตนลีย์ โฮ เขาคือใคร
ย้อนหลังไปราวครึ่งศตวรษ แสตนลีย์ โฮเติบโตขึ้นจากพื้นฐานครอบครัวนักธุรกิจชาวฮ่องกงที่ต่อมาต้องเผชิญกับความผันผวนขึ้นลงนับครั้งไม่ถ้วน
โฮ ฟุค คุณปู่ ของเขาเป็นนายหน้าติดต่อธุรกิจให้กับบริษัทจาร์ดีน แมทธีสัน
ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจขนาดยักษ์ใหญ่ในฮ่องกง มีกิจการทั้งที่เป็นด้านการค้าระหว่างประเทศ
ธุรกิจเรียลเอสเตทและธุรกิจผลิตนมเนยเป็นต้น
ส่วนพ่อของเขา "โฮ กวอง" มีอาชีพ "คัมปะโด" ติดต่อธุรกิจให้กับตระกูล
แซสซูนแห่งตะวันออกกลาง ข้างแม่ "ฟลอรา" ก็เป็นบุตรีของครอบครัวชนชั้นกลางที่เป็นนักกฎหมายและประธานสมาคมชาวจีน
"ซิน ทัค-ฟัน"
โชคร้านที่คอรบครัวของเขาดำเนินธุรกิจผิดพลาด และตกต่ำเรื่อยมานับแต่การขดาทุนในกิจการค้าหุ้นช่วงทศวรรษ
1930 จนพ่อของเขาต้องหลบลี้หนีหน้าไปอยู่ที่ไซ่ง่อน ทิ้งให้สแตนลีย์ โฮต้องผจญกรรมกับแม่ตามลำพังในฮ่องกง
สแตนลีย์ โฮซึ่งไม่เคยใส่ใจกับการเล่าเรียนเมื่อครั้งที่ฐานะร่ำรวยจึงเริ่มเข้าใจกับความยากลำบากในชีวิต
จากนักเรียนปลายแถวในชั้นเรียน เขาได้รับแรงผลักดันจากความล้มเหลวขอครอบครัวส่งให้กลายเป็นผู้มีความเข้มแข็ง
และมีจุดหมายในชิวที่สุดสามารถคว้าทุนการศึกษาได้ครั้งแล้วครั้งเล่า ไต่เต้าจนเกือบจะได้เป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัยฮ่องกงอยู่แล้ว
ถ้าไม่เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 เสียก่อน
สแตนลีย์ โฮในวัย 20 ปีจำต้องเลิกเรียนหนังสือไปโดยปริยาย ยิ่งเมื่อญี่ปุ่นบุกฮ่องกงในปี
1941 เขาต้องลี้ภัยสงครามข้ามฟากไปเสี่ยงชะตากรรมในมาเก๊า พร้อมเงินติดกระเป๋าเพียง
10 ดอลลาร์ฮ่องกงกับความมุ่งมั่นที่จะก้าวไปสู่จุดหมายและกระหายในความสำเร็จ
ชีวิตใหม่ที่มาเก๊าเริ่มต้นที่งานเลขานุการกับบริษัทญี่ปุ่นแห่งหนึ่ง จากนั้นสะสมทุนรอนไปเรื่อย
ๆ เมื่อผสานกับความเป็นนักเจรจาต่อรองที่มีเหตุมีผลและเก่งกาจ 4 ปีถัดมาเขาก็เป็นเจ้าของเงินล้านดอลลาร์แรกในชีวิตจากการค้าขายกับประเทศจีน
สแตนลีย์ โฮไม่เคยหยุดนิ่ง เขาจะคว้าโอกาสทุก ๆ โอกาสที่ผ่านเข้ามากิจการของเขาจึงมีตั้งแต่บริษัทค้าทอง,
ของเล่น, เหล็ก, เครื่องบิน, เคมีภัณฑ์และธุรกิจเดินเรือ พร้อมกันนี้ก็ดำเนินธุรกิจซื้อขายที่ดินในฮ่องกงไปด้วย
จนกระทั่งถึงจุดพลิกผันครั้งสำคัญในปี 1962 ซึ่งเขาชนะการประมูลได้สัมปทานผูกขาดกิจการบ่อนการพนันในมาเก๊า
โดยมีเงื่อนไขว่าเขาจะดำเนินการทุก ๆ อย่างเพื่อให้มาเก๊ากลายสภาพจากเกาะเล็ก
ๆ ไม่มีอะไรน่าสนใจ ให้เป็นเกาะที่ทุกคนรู้จักให้ได้
"คุณจะต้องมีเชาวน์ และใช้สมองของคุณคิดแก้ปัญหาด้วยตนเอง การจะทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จได้
คุณไม่จำเป็นจะต้องมีการศึกษาดีเสมอไป" สแตนลีย์โฮ พูดถึงเคล็ดลับที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จ
"ผมย้ำกับใครต่อใครเสมอ ๆ ว่าอย่าไปกลัวความล้มเหล้วที่อยู่เบื้อหงน้าคุณบางครั้งความล้มเหลวนั้นเป็นสิ่งดี
ๆ ที่อำพรางตัวอยู่ ขอเพียงแต่คุณอย่าเพิ่งไปท้อถอย พยายามและพยายามต่อไปเถอะแล้วคุณก็จะประสบความสำเร็จเอง"
เมื่อได้ความช่วยเหลือสนับสนุนจากรัฐบาลโปรตุเกส สแตนลีย์ โฮเริ่มลงทุนในกิจการคมนาคมขนส่ง
โรงแรมและกิจการที่อำนวยความสะดวกทุกอย่าง เพื่อดึงนักพนันและนักท่องเที่ยวหลั่งไหลสู่เกาะมาเก๊าตามัญญาที่ให้กับรัฐบาลโปรตุเกสจนประสบความสำเร็จมาถึงทุกวันนี้
นอกจากบ่อนกาสิโน "ลิสบัว" อันเลื่องลือแล้ว สแตนลีย์ โฮยังเป็นเจ้าของกจิการเรือข้ามฟากทุกชนิดระหว่างฮ่องกงและมาเก๊าซึ่งเป็นทางคมนาคมติดต่อระหว่างสองเกาะนี้เพียงทางเดียว
กิจการคาบาเรต์โชว์ บริษัททัวร์นำเที่ยวรอบเกาะ โรงแรมบ่อนกาสิโน 5 แห่ง
สนามแข่งสุนัขเกรย์เฮาด์และสนามแข่งขันไฮโล (กีฬาชนิดหนึ่งใช้คนเล่น 2 หรือ
4 คน ใช้ตะแกรงสานตีลูกให้สะท้อนจากำแพงและภัตตาคารลอยน้ำ 3 แห่ง
เรียกได้ว่าทุก 1 ใน 8 คนของประชากรมาเก๊าราว 420,000 คนต่างต้องพึ่งงานในกิจการหลากชนิดของสแตนลีย์
โฮเพื่อการดำรงชีพ ซึ่งยังไม่รวมกิจการของเขาที่กระจายอยู่ในยุโรป, แคนาดา
และสหรัฐฯ
และเมื่อราว 2 ปีที่ผ่านมา สแตนลีย์โฮก็ตัดสินใจเอาผลประโยชน์ของตัวเองเป็นเดิมพันกับรัฐบาลสังคมนิยมจีนด้วยการเปิดขายหุ้น
25% ของบริษัท SOCIEDADE DE TURISMOE SIVERSOES DE MACAU หรือเอสทีดีเอ็ม
บริษัทผู้จัดการผลประโยชน์ของเขาทั้งหมดในมาเก๊า หลังจากที่ผูกขาดกิจการมานานปีเพราะต้องการทำกำไรก้อนโตก่อนที่โปรตุเกสจะคืนเกาะมาเก๊าให้กับรัฐบาลจีนในปี
1999 ครั้งนี้นับว่าเป็นการเสี่ยงครั้งใหญ่ของสแตนลีย์ โฮที่เดาใจรัฐบาลจีนว่าคงไม่ยึดกิจการบ่อนกาสิโนของเขาแน่
"ผมกล้ารับประกันว่าจีนจะยอมให้มีบ่อนกาสิโนต่อไปหลังจากเข้าปกครองมาเก๊าแล้วไ
แน่นอนที่การเป็นเจ้าพ่อบ่อนพนันของสแตนลีย์ โฮย่อมต้องโยงใยไปถึงอิทธิพลมือ
การลอบสัหงาร เรียกค่าไถ่แบล็คเมล์ การใช้ชั้นเชิงเล่ห์เหลี่ยมเข้าหากัน
ฯลฯ แต่สแตนลีย์ โฮก็สามารถผ่านพันวิกฤตการณ์เหล่านี้มาได้ แถมยังก้าวสูงขึ้น
แข็งแกร่งขึ้นทุกวันด้วยอารมณ์ขันส่วนตัวและความรักในชีวิต
"คนอื่น ๆ จะพยายามดึงให้คุณตกต่ำอยู่เสมอขณะที่คุณกำลังไต่ขึ้นสู่จุดสูงสุด
แต่พอคุณก้าวไปถึงจุดนั้นได้แล้วก็ไม่มีอะไรจะมาสกัดกั้นคุณไว้ได้อีก มีแต่คุณจะก้าวต่อไปอีกเรื่อย
ๆ " สแตนลีย์เชื่ออย่างนั้น
4 ตุลาคมที่ผ่านมา สแตนลีย์ โฮ ยัง ทุ่มเงินอีก 44.9 ล้านดอลลาร์เข้าซื้อหุ้นในกิจการขนถ่ายสินค้าทางอากาศ
"แอร์ฮ่องกง" ส่งให้เขาได้เป็นประธานกรรมการคนใหม่ของธุรกิจการบินแห่งนี้
โดยถือหุ้นอยู่ 50%
"แอร์ฮ่องกง" ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1986 โดยนักธุรกิจฮ่องกง 3
ราย ดำเนินกิจการขนถ่ายสินค้าทางอากาศ โดยเช่าเครื่องบิน 707 จากรัฐบาลจีน
มีเส้นทางบินระหว่างฮ่องกง, ปักกิ่งและเซี่ยงไฮ้ จนถึงปีที่แล้วโอกาสที่จะพัฒนาต่อไปถึงการเป็นธุรกิจการบินรับส่งผู้โดยสารได้อีกต่อไปด้วย
เมื่อผ่านพ้นห้วงแห่งความโหดร้ายในชีวิตมาได้ สแตนลีย์ โฮในปัจจุบันจึงกำลังเรียกร้องบางส่วนที่เคยขาดหายไปเมื่อเขายังเด็ก
เขาใส่ใจกับการดูแลรักษาสุขภาพส่วนตัว ทุก ๆ วันจะลงว่ายน้ำในสระส่วนตัว
หรือเล่นเทนนิสสลับกันไปส่วนช่วงวันหยุดพักผ่อนสุดสัปดาห์จะออกล่าสัตว์ นอกจากนั้นเขายังเป็นนักเต้นรำเท้าไฟที่มีท่วงท่ากระฉับกระเฉงคล่องแคล่วตรงข้ามกับวัย
สแตนลีย์ โฮเห็นว่าการเต้นรำเป็นสิ่งที่ดึงเขาออกจากปัญหาชวนปวดหัวร้อยแปดในชีวิต
สำหรับลูกสาว 7 คนกับลูกชายอีก 1 คน สแตนลีย์ โฮไม่ได้มุ่งมั่นที่จะให้พวกเขาต้องเข้าไปพัวพันกับความสับสนวุ่นวายเหมือนกับตัวเขา
หากสนับสนุนให้แต่ละคนได้ค้นพบลักษณะหรือคุณสมบัติพิเศษของตนเอง
"มีอะไรบางอย่างที่พิเศษมากๆ ในความสัมพันธ์ระหว่างพ่อกับพวกเราพ่อจะเป็นคนที่คอยสนับสนุนพวกเราให้ค้นหาคุณสมบัติพิเศษของตนเอง
อย่างฉันชอบกีฬาและบัลเล่ต์ พ่อก็จะคอยกระตุ้นให้ฉันรู้สึกสนุกกับสิ่งที่ฉันชอบ
และพวกเราก็ทำตามอย่างพ่อพวกเราชอบการท้าทายและจะหาทางเอาชนะสิ่งที่ท้าทายเหล่านั้นให้ได้"
แองเจลา บุตรีผู้หนึ่งของสแตนลีย์โฮกล่าว
ยิ่งกว่านั้น สแตนลีย์ โฮยังเป็นพ่อที่เอาใจใส่ลูก ๆ อย่างมาก วันอาทิตย์จะเป็นวันที่เขาอุทิศให้กับครอบครัวเต้มที่ด้วยการพาครอบครัวไปเดินเที่ยวซื้อของหรือหาอาหารอร่อย
ๆ ทานร่วมกันโดยพักความวุ่นวายในกิจการของเขาไว้ทั้งหมด
สแตนลีย์ โฮยังได้ชื่อว่าเป็นผู้ใจบุญที่บริจาคเงิน เพื่อการกุศลหลายต่อหลายแห่งจนได้รับการยกย่องจากรัฐบาลฟิลิปปิ้นส์และได้เป็นประธานกิตติมศักดิ์ของเหล่าเนตรนารีฮ่องกงด้วย
ถ้าจะมีสิ่งที่น่าแปลกเกี่ยวกับผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นคนที่ร่ำรวยที่สุดคนหนึ่งของเอเชียอย่างสแตนลีย์
โฮผู้นี้ก็คงจะเป็นความเห็นของเขาเกี่ยวกับการพนันที่ว่า
"ผมเกลียดการพนันมาก เพราะทนนั่งเล่นทั้งวันทั้งคืนอย่างนั้นไม่ไหว"
ใช่ล่ะ เขาไม่อาจอดทนต่อเกมพนันบนโต๊ะได้ แต่เขาทนรอได้เสมอกับเกมพนันธุรกิจที่ดำเนินมาตลอด
27 ปีเต็มและต่อไปอีก 10 ปีข้างหน้าเมื่อโปรตุเกสคืนเกาะมาเก๊าให้กับจีนในปี
1999 ซึ่งเขายืนยันไว้อย่างหนักแน่นว่า
"ธุรกิจส่วนใหญ่ของผมอยู่ที่นี่ผมเชื่อในอนาคตของฮ่องกงและมาเก๊า
ผมจอยู่ที่นี่ต่อไป ผมไม่คิดจะอพยพไปไหนไม่ว่าจะในปี 1997 หรือ 1999 ที่นี่เป็นบ้านของผม
ผมจะต้องอยู่ที่นี่"