|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
เมเจอร์ฯ ผนึกกลุ่มเอไอจีตั้งบริษัทร่วมทุนรุกตลาดใหม่ซุปเปอร์ลักชัวรี่ หวังสร้างมาตรฐานใหม่สู้ดีเวลลอปเปอร์ข้ามชาติในตลาดคอนโดไฮเอนด์ ประเดิมโปรเจกต์แรกที่สุขุมวิท 31 เชื่อมั่นเครือข่ายระดับโลกของพันธมิตรช่วยเสริมฐานการเงิน-คอนเนคชั่นแข็งแกร่ง คว้าโอกาสสุดท้ายช่วงตลาดฟื้นรับข่าวเลือกตั้งเดินหน้าระดมทุนปลายปีนี้
เพราะจุดยืนเดียวของเมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ที่เน้นรุกเฉพาะตลาดคอนโดมิเนียมระดับไฮเอนด์ เมื่อภาวะตลาดเปลี่ยนไป มีการเข้ามาของดีเวลลอปเปอร์รายใหม่ๆ ที่มีดีกรีระดับอินเตอร์ จึงกลายเป็นสิ่งที่กดดันให้เมเจอร์ฯ ต้องเร่งปรับตัวเองเพื่อรับมือกับผู้เล่นในตลาดที่มีประสบการณ์ลงทุนและโนว์ฮาวในการพัฒนาโครงการที่เหนือกว่า อีกทั้งต้องเร่งสร้างแบรนด์เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าชาวต่างชาติ กำลังซื้อสำคัญที่ผลักตลาดนี้ให้เติบโตได้อย่างต่อเนื่อง
การตัดสินใจจับมือร่วมทุนกับเอไอจี โกลบอล เรียลเอสเตท อินเวสต์เมนต์ บริษัทอสังหาริมทรัพย์ ในเครือของอเมริกัน อินเตอร์เนชั่นแนล กรุ๊ป อิงค์ หรือเอไอจี จากอเมริกา เพื่อจัดตั้งบริษัท เอ็มเจเอไอ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด เพื่อรุกตลาดระดับซุปเปอร์ลักชัวรี่ โดยเมเจอร์ฯ ถือหุ้น 51% และเอไอจีถือหุ้น 49% แม้จะมองว่าการร่วมทุนกับพันธมิตรไม่ใช่โมเดลการปรับตัวที่แปลกนักในยุคนี้ แต่ก็น่าจะสะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของดีเวลลอปเปอร์ไทยที่จะยกระดับให้เป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ อีกนัยหนึ่งก็เพื่อเป็นการปูพื้นสร้างการตอบรับที่ดีของนักลงทุนให้เข้ากับจังหวะกระแสในช่วงที่เมเจอร์ฯ กำลังจะเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ปลายปีนี้
สุริยน พูลวรลักษณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) (MJD) กล่าวว่า การร่วมเป็นพันธมิตรกับกลุ่มเอไอจีจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งของฐานเงินทุน โนว์ฮาว และการทำตลาดในระดับนานาชาติ อาศัยจุดแข็งของพันธมิตรที่มีประสบการณ์ในการลงทุนอสังหาริมทรัพย์หลายรูปแบบมาแล้วทั่วโลก โดยบริษัทร่วมทุนนี้จะลงทุนเป็นรายโครงการไป โครงการแรก ได้แก่ คอนโดมิเนียมใน ซ.สุขุมวิท 31 บนพื้นที่ 3.5 ไร่ มูลค่า 3,000 ล้านบาท ราคา 1.5 แสนบาทต่อ ตร.ม. ซึ่งจะเป็นโครงการระดับซุเปอร์ลักชัวรี่โครงการแรกของเมเจอร์ฯ จะเปิดตัวในต้นปีหน้า และเอไอจีคาดหวังผลตอบแทนจากส่วนของผู้ถือหุ้นประมาณ 20-25%
ฐานเงินทุนที่แข็งแกร่งของเอไอจีจากการลงทุนในหลายรูปแบบทั่วโลก ประสบการณ์จากการลงทุนพัฒนาโครงการระดับไฮเอนด์ในประเทศต่างๆ รวมทั้งความสนใจที่จะลงทุนในไทย ที่สอดรับกับความต้องการของเมเจอร์ฯ ที่อยากจะสร้างความแข็งแกร่งเท่าเทียมกับคู่แข่ง ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นบริษัทข้ามชาติ จึงกลายเป็นความลงตัวที่ Win-Win ทั้งสองฝ่าย เพราะจะเป็นทางลัดที่จะทำให้เมเจอร์ฯ เป็นดีเวลลอปเปอร์ที่สามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็วกว่าที่คาด แม้จะต้องแลกกับการเร่งสร้างผลตอบแทนกลับคืนผู้ถือหุ้นให้ได้ตามที่ตกลง
แม้ที่ผ่านมาภาวะตลาดทุนยังคงผันผวนอย่างต่อเนื่อง แต่เพื่อความเติบโตของธุรกิจ ก็ถึงเวลาที่เมเจอร์ฯ ต้องอาศัยจังหวะโค้งสุดท้ายก่อนสิ้นปีเดินหน้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ โดยมีแผนจะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนในเดือน พ.ย.นี้จำนวน 200 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท คิดเป็นสัดส่วน 28.57% ของทุนจดทะเบียนชำระแล้ว 500 ล้านบาท (ทุนจดทะเบียน 700 ล้านบาท) ทำให้สัดส่วนผู้ถือหุ้นเดิมลดเหลือ 62% ซึ่งจะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนมาชำระหนี้สถาบันการเงิน 1,500 ล้านบาท ทำให้อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนลดลงจาก 2.7 เหลือ 1.2 และใช้พัฒนาโครงการในอนาคต แม้ยังต้องเสี่ยงกับความผันผวนของตลาด แต่ก็ยังเชื่อมั่นว่า โดยปกติก่อนเลือกตั้งจะเป็นช่วงที่ตลาดมีการซื้อขายคึกคัก จึงเป็นจังหวะเวลาที่ดีที่จะทำให้การระดมทุนประสบความสำเร็จ
สุริยน คาดว่า ปีนี้จะมียอดรับรู้รายได้จาก 3 โครงการ มูลค่า 6,000 ล้านบาท และปีหน้าจาก 5 โครงการ มูลค่า 7,800 ล้านบาท จาก Backlog 8 โครงการ มูลค่า 13,800 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้อย่างต่อเนื่อง 2-3 ปี ทำให้รายได้ปีหน้ามีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยปีหน้ามีแผนจะพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมริมหาดจอมเทียน พัทยา เฟส 1 มูลค่า 3,300 ล้านบาท และอีก 2 โครงการใหม่ พร้อมทั้งสนใจจะขยายธุรกิจไปยังจังหวัดท่องเที่ยวอื่นๆ ในอนาคต
|
|
|
|
|