|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
"พอนด์ส" เท 500 ล้านบาท ส่ง"ฟลอเลส ไวท์" จับคู่ชน "ไวท์ เรเดียนซ์" ของ "โอเลย์" ในตลาดหน้าขาวระดับ Mass-tige เสริมทัพสินค้าครบไลน์ทั้งไวท์เทนนิ่งและเอจจิ้ง ชูนวัตกรรมผ่านสถาบันวิจัยพอนด์สเป็นจุดขาย พร้อมเปิดตัวซีรีส์โฆษณา 5 ตอน หวังสร้างสีสันและการจดจำแบรนด์ การทุ่มเม็ดเงินที่มากสุดในประวัติศาสตร์แบรนด์พอนด์สครั้งนี้ เพื่อรักษาแชมป์ไวท์เทนนิ่งและขยับอิมเมจสู่พรีเมียมแมสอย่างเต็มตัว
วินาทีนี้ การต่อสู้ระหว่าง "พอนด์ส" กับ "โอเลย์" กลายเป็นศึกที่รุกรบครบเซกเมนต์ ทั้งในตลาดแมส และ พรีเมียมแมส (Mastige) โดยล่าสุด "พอนด์ส" อาศัยชั้นเชิงภาพความเป็นผู้นำไวท์เทนนิ่ง เสริมทัพด้วย "ฟลอเลส ไวท์" ออกมาตีโต้ "ไวท์ เรเดียนซ์" ของโอเลย์ ทำให้ครบ 2 คู่ชก บนสังเวียนแมสทีจ คือ กลุ่มหน้าขาว กับ กลุ่มต่อต้านริ้วรอย ที่ตอนนี้มี "พอนด์ส เอจ มิราเคิล" ประกบคู่ "โอเลย์ โททัล เอฟเฟกส์"
ทั้งนี้ การขยายแนวรบมาสู่ตลาดแมสพรีเมียม ของทั้ง 2 แบรนด์ เริ่มจาก พอนด์ส ที่เข้าสู่เซกเมนต์นี้ครั้งแรก ด้วยการส่ง "พอนด์ส เอจ มิราเคิล" บุกตลาดลดเลือนริ้วรอย ขณะที่ โอเลย์ นำตัว "ไวท์ เรเดียนซ์" มาปัดฝุ่นและอัพเกรดภาพลักษณ์ให้ดูพรีเมียม เพื่อเปิดศึกชนในเซกเมนต์ไวท์เทนนิ่ง นับเป็นการก้าวเข้าไปปักธงในเซกเมนต์ที่เป็นจุดแข็งของคู่แข่ง แต่นั่นก็เป็นเพียงการหยั่งเชิงของแต่ละฝ่ายในแดนตรงข้าม
สำหรับ การเข้าสู่สนามรบที่เป็นพรีเมียมอย่างเต็มตัวครั้งนี้ ส่วนหนึ่งมาจากพฤติกรรมของผู้บริโภคที่ต้องการขยับไปใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีนวัตกรรมและราคาที่สูงขึ้น ตามกำลังซื้อหรือระดับรายได้ที่เพิ่มขึ้น ดังนั้นเพื่อรักษาฐานลูกค้าของตนเอง ทั้งพอนด์สและโอเลย์ จึงต้องเร่งอัพเกรดภาพลักษณ์และสินค้าให้เป็นพรีเมียมขึ้น เพื่อสนองความต้องการดังกล่าว และจากผู้เล่นส่วนใหญ่ในตลาด เช่น สมูท อี ที่ดึงนวัตกรรมเซรั่ม เทคโนโลยีระดับเคาเตอร์แบรนด์ เข้ามาเสริมเขี้ยวเล็บในการกินตลาดรีเทลมากขึ้น รวมทั้ง 2 แบรนด์ยักษ์อย่างพอนด์ส และ โอเลย์ ที่ให้น้ำหนักในการบุกตลาดนี้อย่างเต็มที่ ส่งผลให้แมสทีจเป็นเซกเมนต์ที่กำลังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ทั้งในกลุ่มไวท์เทนนิ่ง และแอนตี้ เอจจิ้ง
"ปัจจุบันผลิตภัณฑ์บำรุงผิวเซกเมนต์แมสทีจ มีการเติบโตสูงขึ้นทั้งในกลุ่มไวท์เทนนิ่งและลดเลือนริ้วรอย โดยขยายตัวสูงถึง 32.6% และ 30% ตามลำดับ ขณะที่ตลาดแมส กลุ่มไวท์เทนทิ่งเติบโตเพียง 7% และกลุ่มลดเลือนริ้วรอยโต 22% ดังนั้นเราจึงหันมาบุกตลาดแมสทีจมากขึ้น โดยเฉพาะตลาดไวท์เทนนิ่งที่พอนด์สเป็นผู้นำ" เป็นคำกล่าวของ วรรณิภา ภักดีบุตร รองประธานกรรมการบริหาร กลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ในครัวเรือนและเครื่องใช้ส่วนบุคคล บริษัท ยูนิลีเวอร์ ไทย เทรดดิ้ง จำกัด
ล่าสุด "พอนด์ส" แบรนด์ที่แข็งแกร่งในมุมของผลิตภัณฑ์เพื่อผิวขาว ที่มี "พอนด์ส ไวท์ บิวตี้ ดีท็อกซ์" เป็นเรือธงในการบุกตลาดไวท์เทนนิ่ง โดยโฟกัสกลุ่มผู้ใช้ในต่างจังหวัดเป็นหลัก ที่ครองส่วนแบ่งรวม 29% ได้หันมาตอกย้ำความเป็นผู้นำเซกเมนต์นี้ ด้วยการทุ่มเม็ดเงิน 500 ล้านบาท เปิดตัว "พอนด์ส ฟลอเลส ไวท์" ขยายฐานไวท์เทนนิ่งในตลาดแมสทีจอย่างเต็มตัว ต่อจาก "พอนด์ส เอจ มิราเคิล" ผลิตภัณฑ์ลดเลือนริ้วรอยที่ส่งมาเจาะตลาดก่อนหน้านี้ โดยมีสาวในกรุงเทพฯวัย 25 ปีขึ้นไปเป็นเป้าหมายหลัก ฉะนั้น ตอนนี้ทัพสินค้าไวท์เทนนิ่งของพอนด์สจึงมีการแบ่งแยกหน้าที่ในการเจาะผู้บริโภคที่ชัดเจนขึ้น ทั้งในเชิงภาพลักษณ์และราคาที่ต่างกันราว50%
เช่นเดียวกับ ฝั่ง "โอเลย์" ที่มี "โททัล ไวท์" และ "โททัล ไวท์ เอ็กซ์ตร้า" ทำหน้าที่จับสาวหน้าขาวในต่างจังหวัดเช่นกัน ส่วนลูกค้าสาวๆในเมือง พีแอนด์จีทำการรีลอนช์ "โอเลย์ ไวท์ เรเดียนซ์" ออกมาตอบโจทย์โดยเฉพาะแล้ว หลังหยุดทำตลาดไปนานกว่า 5 ปี ทำให้ โอเลย์ มีสินค้าที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคอย่างคลอบคลุมเช่นกัน โดยตอนนี้มีแชร์สูงถึง 28% จากตลาดไวท์เทนนิ่งมูลค่า 3,100 ล้านบาท ห่างจาก พอนด์ส เพียง 1 ก้าวเท่านั้น
ด้วยมาร์เก็ตแชร์ที่ห่างกันเพียง 1 แต้ม ทำให้งานนี้ "พอนด์ส" ต้องพยายามรักษาฐานของตนเองและเขยิบหนีห่าง "โอเลย์" ให้มากขึ้น ดังนั้น การเปิดตัวไวท์เทนนิ่งในเซกเมนต์แมสทีจครั้งนี้ ยูนิลีเวอร์ฯจึงทุ่มสุดตัว ด้วยการอัดเม็ดเงินสูงถึง 500 ล้านบาท มากสุดในประวัติศาสตร์การทำตลาดของแบรนด์พอนด์ส จากเดิมที่ใช้มากสุดเพียง 200 - 300 ล้านบาท เมื่อครั้งเปิดตัว "พอนด์ส เอจ มิราเคิล" เนื่องจากลีเวอร์ฯเชื่อว่านวัตกรรมล่าสุดตัวนี้จะเป็นหมัดเด็ดที่เปลี่ยนภาพลักษณ์ของพอนด์ส
"พอนด์ส ฟลอเลส ไวท์ จะเป็นหัวหอกสำคัญในการเปลี่ยนภาพของพอนด์สจากแมสไปสู่แมสทิส"
สาเหตุ ที่ทำให้พอนด์สต้องกลับมาปักหลักสู้ในมุมไวท์เทนนิ่ง อาจเป็นเพราะแรงส่งจากตัว "พอนด์ส เอจ มิราเคิล" ที่ยังไม่สามารถจุดพลุในมุมลดเลือนริ้วรอยให้ดังเท่าหรือมากกว่า "โททัล เอฟเฟกส์" ของโอเลย์ ซึ่งส่วนหนึ่งคงมาจากภาพความเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเอจจิ้งที่ดูน้อยกว่าเมื่อเทียบกับคู่กัดอย่างโอเลย์ ทำให้ผลตอบรับในฝั่งเอจจิ้ง พอนด์สยังเป็นผู้ตามโอเลย์เกือบ 10% แม้ช่วงนั้นจะมีการแจกสินค้ากว่า 2 แสนชิ้น พร้อมเปิดมิราเคิล บูธ สำหรับตรวจเช็คสภาพผิวหน้าและให้ความรู้กับผู้บริโภคตามห้างสรรพสินค้าก็ตาม
เมื่อไม่สามารถฝ่าด่านหินของโอเลย์ได้ อีกทั้ง ภาพรวมตลาดผลิตภัณฑ์บำรุงผิว ไวท์เทนนิ่งเป็นกลุ่มที่มีสัดส่วนมากสุด 49% คิดเป็นมูลค่า 3,100 ล้านบาท รองลงมาคือ กลุ่มเอจจิ้ง 40% มูลค่า 2,600 ล้านบาท ที่เหลืออีก 11% มูลค่า 725 ล้านบาท เป็นกลุ่มบำรุงพื้นฐาน และหากพิจารณาเฉพาะเซกเมนต์แมสทีจจะพบว่า กลุ่มไวท์เทนนิ่ง คิดเป็นสัดส่วน 43% มีการเติบโตสูงถึง 33% ขณที่กลุ่มเอจจิ้งในเซกเมนต์แมสทีจที่มีสัดส่วนราว 25% มีการเติบโต 30% ดังนั้น การคุมเชิงและสู้ในแดนของตนเองซึ่งเป็นสัดส่วนใหญ่สุดของตลาด เชื่อว่าจะเป็นทางออกพร้อมสร้างความแข็งแกร่งให้กับแบรนด์พอนด์สได้ดีที่สุด
ปัจจัยที่ทำให้กลุ่มแมสทีจมีการเติบโตสูงขึ้น และเชื่อว่าจะเติบโตอย่างต่อเนื่องนั้น ผกาฉัตร เตชาบูรพานนท์ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาตลาดกลุ่มผลิตภัณฑ์บำรุงผิวของยูนิลีเวอร์ อธิบายว่า เกิดจากพฤติกรรมของผู้หญิงที่ต้องการใช้สินค้าที่มีนวัตกรรมสูงขึ้น อีกทั้งมีความซับซ้อนการใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวมากขึ้นด้วย โดยตอนนี้หญิงไทยใช้เฉลี่ยประมาณ 2 - 3 ขั้นตอน ซึ่งยังน้อยมากเมื่อเทียบกับสาวญี่ปุ่นที่ใช้เฉลี่ย 7 ขั้นตอน ต่อ 1 คน ซึ่งคาดว่าสาวไทยต้องได้รับการเอตดูเคทไม่น้อยกว่า 5 ปีกว่าจะพัฒนาไปถึงขั้นนั้น
สำหรับ การทำตลาดของนวัตกรรมล่าสุดจากพอนด์สครั้งนี้ นอกจากภาพผู้เชี่ยวชาญเรื่องความขาว พอนด์สยังคงนำจุดแข็งในเรื่อง "สถาบันวิจัยพอนด์ส" มาเป็นจุดขายอีกครั้ง และนำผลทดสอบทางการแพทย์ที่ว่า 90% ของผู้ทดลองใช้รู้สึกพอใจ เพื่อมาการันตีความเป็นนวัตกรรมระดับโลกที่พัฒนาขึ้นมาตอบสนองผิวสาวเอเชียโดยเฉพาะ ขณะที่ตัวโปรดักส์ก็มีการอัพเกรด โดยมีการส่งสินค้าออกมา 7 ตัว อาทิ ครีมบำรุงผิวสำหรับกลางวัน, อายครีม, เซรั่ม, โฟมล้างหน้า เพื่อพัฒนาให้เกิดพฤติกรรมการดูแลผิวหน้าไม่ต่างจากการเอตดูเคตของเคาน์เตอร์แบรนด์ ซึ่งคล้ายกับการเปิดตัว "พอนด์ส เอจ มิราเคิล" ที่ส่งสินค้าออกมา 6 ขั้นตอน ซึ่งถือว่ามากสุดตั้งแต่มีการส่งสินค้ากลุ่มลดริ้วรอยเข้ามาทำตลาดแมสพรีเมียม
อย่างไรก็ตาม เม็ดเงินลงทุนกว่า 500 ล้านบาท เชื่อว่างบส่วนใหญ่ พอนด์สคงนำมาทุ่มกับสื่อโทรทัศน์ เนื่องจากเป็นช่องทางที่เข้าถึงผู้บริโภคในวงกว้างมากสุด ดังนั้น เพื่อสร้างความต่างและเป็นสีสันที่จะสร้างการจดจำแบรนด์ พอนด์สจึงเปิดตัวซีรี่ส์โฆษณา จำนวน 5 ตอน ภายใต้คอนเซ็ปต์ "7 วัน...เพื่อรักแท้" ซึ่งจะทำการฉายพร้อมกันใน 5 ประเทศในเอเชีย โดยครั้งนี้พอนด์สไม่ได้เลือกคนมีชื่อเสียงมาเป็นผู้ถ่ายทอดเรื่องราว ต่างจาก "ไวท์ เรเดียนซ์"ของโอเลย์ ที่นำ 3สาวในสังคมชั้นสูงทั้งดารา นักแสดง และนางแบบมาเป็นผู้สื่อสารกับผู้บริโภค ซึ่งเป็นไปได้ว่าพอนด์สต้องการให้ผู้บริโภคมองว่าพอนด์สเป็นสินค้าของหญิงสาวทั่วไป และเพื่อให้ผู้บริโภคมีโอกาสทดลองใช้สินค้า ศึกยกนี้ พอนด์จึงทุ่มแจกสินค้าตัวอย่างกว่า 500,000 ชิ้น
สำหรับ การขยับครั้งใหญ่รอบนี้ แม้รองประธานกรรมการบริหาร ของยูนิลีเวอร์ กล่าวว่า ไม่ได้ตั้งเป้าเพิ่มส่วนแบ่งตลาดก็ตาม แต่เป็นก้าวสำคัญของพอนด์สในการปรับภาพลักษณ์จากแมสแบรนด์สู่แมสทิจแบรนด์ ต้องติดตามกันต่อไปว่า การรักษาฐานลูกค้าเดิมและขยายไปสู่ลูกค้ากลุ่มใหม่ พอนด์สจะสามารถทำได้ดีมากน้อยแค่ไหน แต่งานนี้เชื่อว่า พอนด์ส คงแอบหวังให้แชร์ในเซกเมนต์ไวท์เทนนิ่งขยับห่างจากโอเลย์ให้มากกว่านี้อย่างแน่นอน
|
|
|
|
|