ในภาวะที่ประเทศไทยกำลังเปลี่ยนแปลงจากประเทศเกษตรกรรม มาสู่อุตสาหกรรมตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาตินั้น
เป็นภาวะที่ต้องการเงินทุนอย่างมากสถาบันการเงินต่าง ๆ จึงเข้ามามีบทบาทอย่างสูงไม่วาจะโดยทางตรงหรือทางอ้อม
แต่ทั้งนี้โดยกำลังความสามารถในการระดมเงินภายในประเทศยังไม่เพียงพอ เงินลงทุนของโครงการทั้งหมดในปี
2532 ประมาณ 84,820 ล้านบาท เงินลงทุนของโครงการเฉพาะที่ส่งออกตั้งแต่ 80%
ขึ้นไปประมาณ 55.133 ล้านบาท เป็นเงินลงจากต่างประเทศในรูปเงินทุนจดทะเบียน
12,723 ล้านบาท ในรูปเงินกู้ 38,593 ล้านบาท
สถาบันการเงินในประเทศที่มีบทบาทมากมักจะหนีไม่พ้นธนาคารพาณิชย์ รองลงมาก็เป็นบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
และบริษัทเงินทุนต่าง ๆ ซึ่งบวกรวมพวกทรัสต์เครดิตฟองซิเอร์อีกบ้างนิดหน่อย
ส่วนในด้านธุรกิจประกันภัยที่ยังถกเถียงกันไมีจบว่าเป็นธุรกิจแบบการค้าที่ควรสังกัดกระทรวงพาณิชย์
หรือเป็นสถาบันการเงินที่ควรสังกัดกระทรวงการคลัง
เมื่อมองในแง่ของโอกาสในการระดมเงินออม ธุรกิจประกันภัยก็เป็นอีกสถาบันหนึ่งที่ระดมเงินออกได้ในระยะยาวโดยเฉพาะประกันชีวิต
ซึ่งมีเงินลงทุนและสินทรัพย์ทั้งระบบนับหมื่นล้านในปี 2531 มีเงินลงทุนถึง
24,264 ล้านบาท และในปี 2532 ตัวเลขย่อมทวีมากขึ้น แน่นอนเพราะภาวะธุรกิจเองก็เติบโตกว่า
37% นับว่าเป็นตัวเลขการเติบโตที่สูงมากโดยเฉพาะบริษัทอเมริกันอินเตอร์แนชชั่นแนลแอสชัวรันส์
(เอ.ไอ.เอ) ซึ่งอยู่ในกลุ่มของเอไอจี แม้จะมีการเติบโตที่น้อยลงแต่ก็ยังสามารถรักษาส่วนแบ่งตลาดไว้ได้เหมือนเดิม
ในปี 2532 เอ.ไอ.เอ มีเงินลงทุนในกระเป๋าถึง 9,000 ล้านบาท เงินส่วนนี้เองที่เอ.ไอ.เอ.ต้องพยายามนำไปก่อดอกก่อผลให้บริษัทมากที่สุด
ประกอบกับเศรษฐกิจที่ขยายตัวอย่างรวดเร็วแบบนี้ ผู้ที่มีเครือข่ายมากจะได้เปรียบ
เอ.ไอ.เอ.ก็ไม่ได้ปล่อยให้โอกาสในส่วนนี้เสียไป ดูได้จากการลงทุนใหม่ ๆ เช่นการปล่อยสินเชื่อให้บริษัทตีเพชรโดยมีธนาคารมิตซุยเป็นผู้ค้ำประกันจำนวนเงิน
100 ล้านบาทหรือการร่วมมือกับบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมาและธนาคารมิตซุยปล่อยสินเชื่อให้กับบริษัทไทยชีโนมอเตอร์เซลส์
และบริษัทเอ็นซีซี เทคโนโลยีประเทศไทย แห่งละ 200 ล้านบาท รวมทั้งปล่อยสินเชื่อในโครงการทางด่วนสายดินแดง-ดอนเมืองอีกประมาณ
100 ล้านบาท นโยบายปล่อยสินเชื่อนั้น เอ.ไอ.เอจะเลือกเฉพาะลูกค้ารายใหญ่เท่านั้น
สำหรับด้านการร่วมทุนแม้ว่าจะมีอุปสรรคบ้างจากกฎการลงทุนของกระทรวงพาณิชย์แต่ก็มิได้ทำให้
เอ.ไอ.เอย่อท้อในช่วงกลางปีที่ผ่านมา เอ.ไอ.เอ พยายามเข้าเทคโอเวอร์ บงล.
บีเอ ซึ่งถูกกลุ่มศรีวิกรม์ตัดหน้าไป ซึ่งตอนนี้ก็ได้เข้าไปซื้อหุ้นของพรีเมียร์ซัพพลาย
2.5% ของทุนจดทะเบียนบริษัทพรีเมียร์ 200 ล้านบาท ถือหุ้นในโรงแรมฮิลตันอินเตอร์เนชั่นแนล
25% และอีก 22% ในบริษํทพันธ์ศรีวิวัฒน์ปาล์ออยล์ และในปี 2533 จะเข้าร่วมลงทุน
ในโครงการเกษตรอุตสาหกรรมประมาณ 200 ล้านบาท รวมทั้งแนวการลงทุนจะมุ่งสู่ตลาดหลักทรัพย์ฯให้มากขึ้น
จากกรณีของ เอ.ไอ.เอนี้สะท้อนให้เห็นว่าทศวรรษนี้ถึงยุคที่บริษัทประกันทั้งหลายจะต้องบริหารเงินให้ประสิทะภาพมากยิ่งขึ้น
โดยเฉพาะเมื่อดัชนีการขยายตัวด้านเบี้ยประกันเพิ่มสูงผู้บริหารเงินที่ดีย่อมรู้จักนำเงินไปลงุทนในธุรกิจที่มีความเสี่ยงต่ำ
ผลตอบแทนสูงและเชื่อมโยงต่อธุรกิจประกันในอนาคตได้