Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ มกราคม 2533








 
นิตยสารผู้จัดการ มกราคม 2533
เลี้ยงลูกให้มีดนตรีในหัวใจ             
โดย ดนุช ตันเทอดทิตย์
 


   
search resources

Musics




กรุงเทพเมื่อประมาณ 20 ปีที่แล้ว ถ้าจะหาร้านขายเครื่องดนตรีซักร้านคงจะยากไม่ใช่เล่น แม้แต่โน้ตเพลงก็ยังต้องสั่งเข้าจากต่างประเทศ หรือแม้กระทั่งสายกีตาร์ยี่ห้อดัง ๆ สักเส้นถ้าเราต้องการที่จะมีไว้ใช้ก็ต้องอาศัยเวลาถึง 3 เดือน กว่าร้านค้าขายเครื่องดนตรีจะสั่งมาให้ตามที่ต้องการได้ รากฐานของสาเหตุที่สำคัญก็อยู่ที่ตลาดผู้บริโภคดนตรี บ้านเราในยุคนั้นยังไม่ตื่นตัวต่อการซ่องเสพหรือเห็นคุณค่าของดนตรีมากเพียงพอ

แต่ในยุคสมัยนี้ซึ่งเป็นยุคที่การสื่อสารและการเดินทางติดต่อเป็นไปได้อย่างรวดเร็วข่าวสรทุกชนิด เทคโนโลยีทุกประเภท และสินค้าต่างประเทศอันหลากหลายได้เข้ามามีส่วนร่วมในชีวิตประจำวันของคนไทยเรามากขึ้น และวัฒนธรรมของชาวต่างประเทศก็ไหลบ่าเข้ามาให้คนไทยได้สัมผัสรับรู้ได้ทั่วถึงด้วย ซึ่งที่เห็นได้ชัดก็คือ "ดนตรี" ที่มีอิทธิพลอยู่มากต่อวิถีชีวิตคนไทยในยุคนี้

"ทัศนะคติของคนไทยที่มีต่อวงการดนตรีเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ไม่มีการดูถูกดูแคลนนักร้องนักดนตรีว่าเป็นอาชีพเต้นกินรำกินไม่มีอนาคตอีกต่อไปดนตรีถือเป็นศิลปะแขนงหนึ่ง โดยเฉพาะทางด้านดนตรีของตะวันตกถูกบรรจุอยู่ในหลักสูตรการเรียนการสอนของสถาบันการศึกษาระดับต่าง ๆ ยิ่งมีแรงสนับสนุนจากธุรกิจผลิตเทปด้วยแล้ว ดนตรีตะวันตกก็ยิ่งได้รับความสนใจมากขึ้นไปอีก" บุปผวรรณ ธีระวรรณวิไลผู้ช่วยผู้อำนวยการโรงเรียนจินตการดนตรีพูดถึงสภาพเกี่ยวกับความรู้สึกของคนไทยที่มีต่อวงการดนตรี

การยอมรับในอิทธิพลของ "ดนตรี" ในบ้านเมืองเรายุคนี้คงต้องมี 2 ส่วนที่ผสมผสานกันอยู่ อันหนึ่ง ดนตรีเป็นสื่อสารทางวัฒนธรรมที่ใช้ความรู้ทางศิลปะเข้ามาสร้างสรรค์ให้สามารถเกาะกุมเข้าไปในวิถีชีวิตของคนมากขึ้น ขณะเดียวกันอีกอันหนึ่ง ดนตรีกลายเป็นสินค้าที่มีการผลิตด้วยเหตุผลทางธุรกิจ

ในบ้านเรามีแนวโน้มอย่างมากที่ดนตรีกำลังถูกอิทธิพลทางธุรกิจเข้าครอบงำเห็นได้ชัดจากธุรกิจผลิต และค้าเทปที่ผู้ประกอบการผลิตออกมาด้วยเหตุผลทางตลาด ไม่ใช่ศิลปะแม้ดนตรีที่แฝงตัวเข้ามาในรูปธุรกิจจะมีอิทธิพลต่อการสร้างความยอมรับในหมู่คนไทยมากขึ้นกว่าแต่ก่อน แต่โดยพื้นฐานคนไทยแล้ว ยังขาดการเรียนรู้ดนตรีอย่างมีระบบระเบียบแบบแผนที่ถูกต้องเหมือนในยุโรปหรือสหรัฐอเมริกา

ดังนั้น การซ่องเสพดนตรีของคนไทยยุคนี้ ส่วนใหญ่จึงเป็นไป เพื่อเหตุของการแสวงหาความบันเทิงทางโสต มากกว่าจะซึมซับเอาศาสตร์ของการดนตรีที่ถูกเรียงร้อยด้วยตัวโน็ตของศิลปินอย่างมีหลักวิชาและอารมณ์อันสุนทรีย์

การเรียนดนตรีในบ้านเรามีการเปิดสอนอย่างเป็นจริงเป็นจังก็ในระดับปริญญาตรีในช่วง 10 ปีนี้เอง ตามวิทยาลัยครูต่าง ๆ ซึ่งโดยส่วนใหญ่ก็เน้นที่ภาคดนตรีไทย ต่อมาเมื่อปี 2520 คณะครุศาสตร์จุฬาฯ ก็เพิ่งจะเปิดสาขาดนตรีขึ้นมีสาขาดนตรีสากลด้วย และคณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาฯ ที่มีการสอนทางด้านดนตรีในหลาย ๆ สาขา ก็เพิ่งจะเปิดมาได้ไม่ถึง 10 ปี นอกนั้นแล้วก็มักจะเป็นการเรียนการสอนในระดับประกาศนียบัตรเท่านั้น

การเรียนการสอนดนตรีในระดับประกาศนียบัตรนั้นโดยทั่วไปจะแบ่งเป็น 3 ระดับ คือ ชั้นต้น, ชั้นกลาง และชั้นสูง ชั้นต้นนั้นจะแบ่งระดับออกเป็น 3 ระดับ คือเกรด 1 ถึงเกรด 3 ชั้นกลางตั้งแต่เกรด 7 ถึงเกรด 8 ซึ่งจะได้รับประกาศนียบัตรสาขาศิลปศึกษาเหมือนของกระทรวงศึกษาธิการ

ในขณะนี้มีโรงเรียนที่สอนดนตรีตั้งแต่ระดับชั้นต้นถึงชั้นสูงที่จะได้รับใบประกาศนียบัตรชั้นสูงอยู่ประมาณ 3 แห่งคือที่โรงเรียนสอนดนตรีสยามกลการ, โรงเรียนศศิลิยะและที่จินตการดนตรี นอกนั้นโดยส่วนใหญ่จะเป็นโรงเรียนสอนดนตรีสยามกลการ, โรงเรียนศศิลิยะและที่จินตการดนตรี นอกนั้นโดยส่วนใหญ่จะเป็นโรงเรียนสอนดนตรีในระดับต้นและกลาง มีสาขาวิชาไม่มากนัก โดยมีระยะเวลาที่กำหนดกันไว้จากระดับต้นถึงสูงจะใช้เวลาเรียน 4 ปี แต่เนื่องจากการเรียนดนตรีในระดับเหล่านี้ ไม่ใช่เป็นการเรียนที่จัดอยู่ในวิชาภาคบังคับ เป็นแต่เพียงผู้สนใจใช้เวลาว่างของแต่ละคนมาศึกษาเพิ่มเติมกันเอง เหตุนี้จึงมีไม่มากรายนักที่จะสามารถจบได้ภายใน 4 ปี ซึ่งส่วนสำคัญที่เป็นตัวกำหนดก็คือการฝึกฝนและปฏิภาณของผู้เรียน

การมีแหล่งสอนดนตรีอย่างมีระเบียบแบบแผน ขณะที่สังคมมีการขยายตัวใหญ่ขึ้นของชนชั้นนักบริหารผู้ประกอบการ ธุรกิจการสอนดนตรีจึงเกิดขึ้นอย่างเป็นล่ำเป็นสัน

ด้วยเหตุนี้ในปัจจุบันผู้ปกครองจึงมักที่จะส่งลูกหลานเข้าเรียนดนตรีกันตั้งแต่อายุได้เพียง 4 ขวบขึ้นไปเพื่อเป็นการเตรียมตัวเด็กให้มีความพร้อมเช่นการฟังเสียงดนตรีต่าง ๆ การรู้จักกับโน้ต การรู้จักวิธีการร้องเพลง จนเป็นค่านิยมใหม่ในกลุ่มของผู้บริหารระดับกลางขึ้นไปแล้วว่าถ้าไม่ส่งลูกหลานเข้าเรียนดนตรี จะไม่ทันสมัยเสียแล้ว

"แต่โดยส่วนใหญ่ ผู้ปกครองที่ส่งเด็กมาเรียนดนตรีนั้นไม่ได้มีเจตนาในการที่จะให้เด็กเรียนไปเพื่อประกอบอาชีพเป็นนักดนตรี แต่เป็นการเรียนดนตรีไปเพื่อเป็นการเสริมสร้างความสามารถเท่านั้น จะมีเพียงประมาณ 10% เท่านั้นที่เรียนไปเพื่อการประกอบอาชีพ" บุปผวรรณกล่าวเพิ่มเติมถึงวัตถุประสงค์หลักของผู้ปกครองในการส่งลูกหลานมาเรียนดนตรี

แน่นอนว่าความสามารถของผู้ที่จบประกาศนียบัตรนั้นย่อมสามารถประกอบอาชีพได้ในการเป็นนักดนตรีหรือครูสอนดนตรี แต่เหตุผลที่นักบริหารหรือผู้ปกครองหลายคนไม่ได้มีวัตถุประสงค์ เพื่อประโยชน์ทางด้านอาชีพของลูกหลานเป็นหลักก็เพราะว่า คุณประโยชน์ของคนเรียนดนตรีนั้นมีมากกว่าการเป็นผู้ที่สามารถผสมเสียงดนตรีให้ออกมามีความไพเราะเท่านั้น

ถ้าจะเปรียบเทียบการเรียนดนตรีแล้วก็เหมือนกับการเรียนศิลปะอีกแขนงหนึ่งที่มีภาษาเป็นของตนเอง ผ่านทางโน้ตดนตรีที่ต้องอาศัยความเข้าใจตั้งแต่เบื้องต้น เพื่อนำมาสู่การปฏิบัติที่ถูกต้องตามโน้ตตามจังหวะเป็นการประสานกันของโสตประสาททั้งหลายของร่างกายมนุษย์

ความถูกต้องของกาประสานกันนั้นจะต้องเกิดขึ้นได้ต้องอาศัยการเรียนรู้ การฝึกฝนความกล้าที่จะแสดงออก มีวินัยและรู้ซึ่งถึงความสามารถในการบังคับตัวเอง รู้ในการบังคับควบคุมนิ้วที่จะกดลงบนคีย์ของเปียโน รู้ว่ากดอย่างไรเสียงที่ออกมาจึงไม่กร้าว ไม่ผิดเพี้ยนจากอารมณ์ของเพลง รู้ถึงการบังคับควบคุมลมที่จะเป่าออกมาสู่ฟรุ้ตหรือคาริเน็ต หรือรู้ถึงการควบคุมความสม่ำเสมอของมือที่จะดีดสายกีตาร์ อีกทั้งรู้ที่จะควบคุมสมาธิในการเล่นดนตรีด้วย

สิ่งนี้คือหัวใจที่นักบริหารหรือผู้ปกครองต่าง ๆ ต้องการที่จะให้ลูกหลานได้เรียนรู้ถึงความสามารถในการควบคุมบังคับตนเอง ได้ซึมซับความมีวินัย ความมีสมาธิและความกล้าที่จะแสดงออก อันเป็นส่วนสำคัญของการเล่นดนตรีเอาไว้ในจิตสำนึก ซึ่งไม่ใช่เพียงเพื่อการประกอบอาชีพเป็นนักดนตรีหรือครูสอนดนตรีแต่ยังสามารถใช้ประโยชน์ต่อชีวิตประจำวันของคนเราทุกคน

"ปัจจุบันความนิยมที่จะเรียนดนตรีมีมากเพิ่มขึ้นในอัตราที่สูงมาก ประมาณ 30% ต่อปี ที่จริงแล้วในปัจจุบันนี้ในบางหลักสูตร ยกตัวอย่างเช่นเปียโน ซึ่งได้รับความนิยมสูงสุดในการเรียนการสอน ก็อยู่ในระดับที่ต้องเข้าคิวรอเรียนกันแล้ว รองลงมาก็คือออร์แกนไฟฟ้าและกีตาร์นั้นไม่ค่อยจะมีปัญหาที่เรียนเพราะมีที่เรียนหลายที่เปิดสอนอยู่แล้ว" บุปผวรรณ อาจารย์สอนดนตรีที่จบมาทางด้านกีตาร์คลาสสิกจากอเมริกา บอกเล่าถึงความนิยมของคนไทยที่มีต่อการเรียนดนตรีในปัจจุบันที่มีแนวโน้มที่จะเพิ่มมากขึ้น

ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีคุณค่าในตัวของมันเองไม่ว่าจะเป็นการวาดภาพ การเล่นกีฬาและแม้กระทั่งการเรียนดนตรี เพียงแต่ว่าเราจะสามารถสัมผัสรับรู้ถึงประโยชน์จากสิ่งที่เราได้ทำได้เรียนรู้มากน้อยเท่าไหร่เท่านั้น จากนั้นก็มาถึงขั้นตอนของการนำมาประยุกต์ใช้กับชีวิตประจำวันของเราเพื่อที่จะทำให้ชีวิตเราดำเนินไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การเรียนรู้ความสามารถของตัวเอง การมีวินัยฝึกฝนความกล้าที่จะแสดงออก เรียนรู้ที่จะมีสมาธิในการทำงาน ที่เราซึมซับได้จากการเรียนดนตรีเป็นสิ่งที่อยูนอกเหนือจากความคาดคิดของหลาย ๆ คน หรืออาจมองข้ามไป ซึ่งการเรียนดนตรีน่าจะเป็นวิธีหนึ่งที่ลูกหลานคุณจะได้รับประโยชน์จากมัน บางทีอาจจะมากกว่าที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ก็ได้ หรือว่าจะไปสัมผัสด้วยตัวคุณเองก็ไม่มีอะไรจะเป็นปัญหา เพราะว่าไม่มีใครแก่เกินเรียน…..อยู่แล้ว

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us