|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
ธปท.ยอมรับค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นจากผู้ส่งออกที่เทขายเงินดอลลาร์ เชื่อไม่น่าห่วงเป็นไปตามธปท.คาดว่าทั้งปีค่าเงินบาทจะแข็งค่าตามทิศทางเดียวกับค่าเงินสกุลอื่นๆของภูมิภาคเอเชีย ด้านนักค้าเงินระบุค่าเงินหยวนที่แข็งค่าขึ้นแตะระดับ 7.5 หยวนต่อดอลลาร์ไม่กระทบต่อค่าเงินบาทแน่นอน
นางสุชาดา กิระกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น เนื่องจากผู้ส่งออกมีการเทขายเงินดอลลาร์เพื่อแลกเงินบาทมากขึ้นจากแนวโน้มที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนตัวลง อย่างไรก็ตาม การเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทในขณะนี้ยังคงทรงๆ ตัวอยู่ไม่ได้มีความผันผวนมากนัก จึงไม่มีอะไรที่น่าเป็นห่วง เนื่องจากเป็นไปตามที่ธปท.คาดการณ์ไว้อยู่แล้วว่าปีนี้ทั้งปีค่าเงินบาทจะแข็งค่าขึ้น ซึ่งเป็นไปตามทิศทางเดียวกับสกุลเงินอื่นๆ ของประเทศในแถบภูมิภาคเอเชีย
ทั้งนี้ ในรายงานแนวโน้มเงินเฟ้อ ฉบับเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ระบุว่า ทางคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) ประเมินว่า การไหลเข้าของเงินทุนจากต่างประเทศเข้ามาลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ และการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ(เอฟดีไอ) ประกอบกับการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดสะสมอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลทั้งสิ้น 7.4 พันดอลลาร์สหรัฐ นับเป็นปัจจัยที่สำคัญที่กดดันให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ หากพิจารณาการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทในรูปดัชนีค่าเงินบาท(NEER) ซึ่งคำนวณจากอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงินบาทกับสกุลเงินของประเทศต่างๆ ที่มีความสำคัญทางด้านการค้าระหว่างประเทศกับไทยนำมาเฉลี่ยถ่วงน้ำหนัก พบว่า ดัชนีค่าเงินบาทล่าสุดในเดือนกันยายนหรือไตรมาสที่ 3 อยู่ที่ระดับ 78.28 แข็งค่าขึ้นเล็กน้อยประมาณ 0.7% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 2 เพราะแม้ว่าค่าเงินบาทจะแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐ รวมถึงค่าเงินสกุลต่างๆ ของประเทศในภูมิภาคส่วนใหญ่ แต่อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับค่าเงินสกุลหลักอื่นๆ เช่น เยน และยูโร
ส่วนดัชนีค่าเงินบาทที่แท้จริง(REER) ซึ่งนำดัชนีค่าเงินบาทมาปรับราคาเปรียบเทียบ เพื่อให้สะท้อนถึงความสามารถในการแข่งขันด้านราคาของประเทศ ล่าสุดในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาอยู่ที่ระดับ 90.99 แข็งค่าขึ้นจากค่าเฉลี่ยของไตรมาสที่ 2 ประมาณ 0.4% โดยในช่วง 2 เดือนแรกของไตรมาสที่ 3 ซึ่งเป็นการแข็งค่าที่น้อยกว่าการแข็งค่าขึ้นของดัชนีค่าเงินบาท เนื่องจากระดับราคาในประเทศเพิ่มขึ้นน้อยกว่าระดับราคาของประเทศคู่ค้าและคู่แข่งโดยรวม อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ผู้ประกอบการและผู้ผลิตเตรียมปรับราคาสินค้าในประเทศเพิ่มขึ้น ซึ่งมีผลให้ดัชนีค่าเงินบาทที่แท้จริงเพิ่มขึ้นในอนาคต ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าความสามารถในการแข่งขันด้านราคาของไทยลดลง
ด้านนักค้าเงินจากธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ค่าเงินบาทปิดตลาดวานนี้ (24 ต.ค.)อยู่ที่ระดับ 34.14-34.15 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ โดยการเคลื่อนไหวระหว่างวันค่อนข้างเหงียบเหงา แม้จะมีข่าวอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินหยวนของจีนแข็งค่าขึ้นทะลุ 7.5 หยวนต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งนับเป็นครั้งแรกตั้งแต่จีนเริ่มใช้ระบบตะกร้าเงินในปี 2005 หลังกลุ่มจี7 เรียกร้องให้จีนเร่งปรับขึ้นอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินหยวนให้เร็วขึ้นก็ตาม อย่างไรก็ตามมองว่าการแข็งค่าของเงินหยวนนั้นอาจจะมีผลกระทบต่อค่าเงินประเทศอื่น ๆ แต่จะไม่มีผลกระทบต่อค่าเงินบาทอย่างแน่นอน
|
|
|
|
|