Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน25 ตุลาคม 2550
ปูนใหญ่ปีนี้โตพลาดเป้าต้นทุนพุ่ง-ยอดใช้ปูนต่ำสุดรอบ10ปี             
 


   
www resources

โฮมเพจ เครือซิเมนต์ไทย

   
search resources

ปูนซิเมนต์ไทย, บมจ.
กานต์ ตระกูลฮุน
Cement




SCC ปีนี้โตหลุดเป้า 5% เหตุต้นทุนการดำเนินงานพุ่ง และค่าบาทแข็ง ส่งผลต่อทุกกลุ่มธุรกิจกำไรทรุด ขณะที่ Q3 มีกำไรจากขายหุ้น ATC เกือบ 2 พันล้านพยุงกำไรจากผลการดำเนินงานทรุด 33% ขณะที่ปริมาณการใช้ปูน 9 เดือนปีนี้วูบ 6 % ต่ำสุดในรอบ 10 ปี ยันไม่ปรับราคาปูนชี้ดีมานด์ต่ำและขณะนี้ขายที่ราคาดีสเคาท์ คาดปีหน้ายอดขายปูนจะกระเตื้อง จากความต้องการที่อยู่อาศัยและดอกเบี้ยจูงใจ พร้อมลุย INNOVATIONช่วยเพิ่มรายได้ช่วงขาลง

นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) (SCC) แจ้งว่าผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ปีนี้ สิ้นสุด 30 กันยายน 2550 ว่าผลกำไรสุทธิ 7,550 ล้านบาทลดลง 1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยได้รวมกำไรสุทธิจากการขายเงินลงทุน บมจ.อะโรเมติกส์(ประเทศไทย) ที่มี 1,920 ล้านบาท ซึ่งเครือมีกำไรจากการดำเนินงาน 5,630 ล้านบาท ลดลง 33% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และ EBITDA11,606 ล้านบาท ลดลง 29%

นอกจากนี้ ค่าเงินยังส่งผลกระทบต่อการดำเนินงาน โดย 9 เดือนแรกปีนี้บริษัทฯขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยน 2.8 พันล้านบาท หรือเฉลี่ยไตรมาสละ 900 ล้านบาท และคาดว่าปีนี้จะมีตัวเลขขาดทุนจากค่าเงินทั้งสิ้น 3, 500 บาท

ทั้งนี้ การป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนนั้นจะเป็นเนเจอรัล เฮดจ์ โดยบริษัทฯจะมีการนำเข้าสินค้าเครื่องจักรและวัตถุดิบคิดเป็นมูลค่า 5 หมื่นล้านบาท ขณะที่ยอดส่งออกสินค้ารวม 8 หมื่นล้านบาท ทำให้มีความเสี่ยงอยู่ 3 หมื่นล้านบาทหรือประมาณ 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ

" เราคงโตไม่ได้ตามเป้า 5% เพราะ9 เดือนพบว่าโตเพียง 1.3% เท่านั้น จากปัจจัยหลายอย่าง เพราะราคาวัตถุดิบและค่าเงินที่ส่งผล และเป็นสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ ขณะที่ราคาปูนซิเมนต์ก็ปรับขึ้นไม่ได้ เนื่องจากดีมานด์ในตลาดมีน้อยและปัจจุบันเราขายในราคาดิสเค้าท์ " นายกานต์กล่าว

อย่างไรก็ตาม บริษัทได้หันมาลดต้นทุนพลังงาน ด้วยการทุ่มงบ 3,400 ล้านบาท ติดตั้งเครื่องผลิตกระแสไฟฟ้าขนาดกำลังการผลิต 70 เมกะวัตต์ จากความร้อนเหลือทิ้งจากกระบวนการผลิตเพื่อลดต้นทุนพลังงานไฟฟ้าที่โรงงานปูนซีเมนต์ และจะใช้เวลาติดตั้งเครื่องจักรที่โรงงานประมาณ 20 เดือน คาดว่าจะสามารถเริ่มดำเนินการผลิตไฟฟ้าได้ภายในครึ่งปีหลังของปี 2552 หลังจากก่อนหน้าได้ลงทุนติดตั้งมาแล้วที่โรงงานทั้งในไทยและกัมพูชา ซึ่งจะดำเนินการได้ปลายปี 2551 โดยบริษัทใช้งบเพื่อลดต้นทุนปีก่อน 2,450 ล้านบาท และปีนี้ใช้ 3,400 ล้านบาท ซึ่งเป้าหมายจะใช้งบ 2 หมื่นล้านบาทใน 2-3 ปีข้างหน้า

ปริมาณใช้ปูนซีเมนต์ต่ำสุดรอบ10ปี

นายกานต์ กล่าวว่า จากปริมาณการใช้ปูนซีเมนต์ในงวด 9 เดือนแรกของปีนี้พบว่าลดลง 6.1% เชื่อว่าทั้งปีปริมาณการใช้ปูนอาจลดลงประมาณ 8% ถือว่าต่ำสุดในรอบ 10 ปี โดยปี 2539 ปริมาณใช้ในไทยอยู่ที่ 36 ล้านตัน ทำให้ผู้ประกอบการหันมขยายกำลังการผลิตถึง 50 ล้านตัน แต่เมื่อเกิดวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 ปริมาณการใช้ปูนลดลงเหลือเพียง 18 ล้านตัน หลังจากนั้นค่อยๆปรับเพิ่มขึ้น จนปี 2548 ปริมาณการใช้ปูนอยู่ที่ 28-29 ล้านตัน/ปี และในปี 2549 พบว่าปริมาณการใช้ปูนลดลงมา 2% และปีนี้เชื่อว่าการใช้ปูนอยู่ที่ 28 ล้านตัน

ทั้งนี้ เชื่อว่าปริมาณใช้ปูนปีนี้น่าจะต่ำสุดแล้ว โดยในปีหน้าการใช้ปูนน่าจะดีกว่าปีนี้ หลังจากสำรวจพบว่าความต้องการที่อยู่อาศัยราคา 1-2 ล้านบาท ยังมีอยู่ และอัตราดอกเบี้ยต่ำ หากประชาชนมีความเชื่อมั่นก็จะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจได้ ส่วนโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้า 3สายในปีหน้า จะยังไม่มีการใช้ปูนมากนัก เนื่องจากเป็นช่วงBidding Process เช่น การออกแบบ การประมูลงาน ฯลฯ กว่าจะมีการใช้ปูนจริงก็คงเป็นปี 2552 ดังนั้น ตัวแปรที่จะช่วยให้เศรษฐกิจในปีหน้าขยายตัว รัฐต้องกระตุ้นรากหญ้า ขณะที่เศรษฐกิจของอาเซียนปีหน้าจะยังดีอยู่ ซึ่งโชคดีที่บริษัทได้มีการส่งออกไปประเทศที่เติบโตเพิ่มขึ้น

ปัจจุบัน ปริมาณการใช้ปูนจะอยู่ใน 3 กลุ่มธุรกิจใหญ่ คือบ้าน ถือว่ามีการใช้สูง 53%ของยอดใช้ทั้งหมด รองลงมา คอมเมอเชียล เช่น ศูนย์การค้า คลังสินค้าและออฟฟิศ บิลดิ้ง ใช้ปูนคงที่อยู่ 18% และ โครงสร้างพื้นฐาน มีการใช้ปูนลดลงเหลือ 28-29%จากปีที่แล้วอยู่ที่ 32% ของการใช้ทั้งหมด ซึ่งในช่วงก่อนวิกฤติมีการใช้ปูนในเซคเตอร์นี้ถึง 50%

INNOVATIONช่วยเพิ่มรายได้ช่วงขาลง

นายกานต์ กล่าวต่อไปว่า จากการที่บริษัทฯให้ความสำคัญในการวิจัยและพัฒนา(R&D) และนวัตกรรม(INNOVATION) ส่งผลสินค้ามีมูลค่าสูงขึ้น ซึ่งในช่วงที่ราคาสินค้าทั่วไปอ่อนตัวลง พบว่าสินค้าที่มีมูลค่าสูงจะช่วยทำให้ยอดขายและมาร์จินของบริษัทฯเพิ่มขึ้น ซึ่งปัจจุบันสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มนั้นมากกว่า 15%ของยอดขาย เพิ่มขึ้นจาก 3ปีที่แล้วที่มีอัตราเพียง 7-8%ของยอดขาย

นายกานต์ กล่าวต่อไปว่า สิ่งที่อยากฝากให้รัฐบาลใหม่เข้ามาเร่งโครงการเมกะโปรเจ็กต์ เนื่องจากเป็นโครงการที่มีความจำเป็น ไม่ใช่ประเด็นหาเสียงอีกต่อไป เพราะ 10ปีที่ผ่านมา โครงการขนาดใหญ่แทบไม่มีเกิดขึ้นในไทย เว้นแต่สนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งก่อนเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ พบว่า ภาคการก่อสร้างคิดเป็น 20%ของจีดีพี แต่ปัจจุบันภาคการก่อสร้างลดลงเหลือแค่ 9%ของจีดีพี ทั้งๆที่ภาคการก่อสร้างเป็นตัวคูณเศรษฐกิจที่สูงที่สุด เช่นการสร้างรถไฟฟ้าจะทำให้เกิดภาคอสังหาริมทรัพย์ตามเส้นทางรถไฟฟ้า และการใช้สินค้าอื่นๆตามมา

นอกจากนี้ ไทยมีการส่งออกสินค้ามากขึ้นทำให้มีโวลุ่มการขนส่งเติบโตขึ้นกว่า 3 เท่า ซึ่งจำเป็นที่รัฐจะต้องเข้ามารีวิวระบบรางใหม่เพื่อให้ระบบลอจิสติกส์ประสิทธิภาพสูงสุด

อย่างไรก็ดี บริษัทได้หันมาลุยธุรกิจโลจิสติกส์ อย่างจริงจัง ด้วยการให้ บริษัท เอส ซี จี โลจิสติกส์ แมเนจเม้นท์ จำกัด เพื่อช่วยในการขนส่งของเครือ ซึ่งบริษัทนี้ทำรายได้เกือบ 1 หมื่นล้านบาท และแนวโน้มสดใส   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us