ราคาน้ำมันโลกดึงเชื้อเพลิงขึ้นตามถ้วนหน้า หุ้นกลุ่มเหมืองถ่านหินได้อานิสงค์ มีร้อนแรงไม่แพ้กัน บ้านปู-ลานนา ราคาปรับขึ้นแล้วกว่าเท่าตัว เหตุมองราคาอาจจะสูงต่อเนื่องไปจนถึงปีหน้า ประกอบกับปัจจัยบวกที่เอาบริษัทลูกเข้าตลาด และสรุปโครงการปลายปีได้
ผลจากการปรับตัวขึ้นของราคาน้ำมันดิบตลอดช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาถือเป็นแนวโน้มขาขึ้น ได้ผลักดันให้ราคาเชื้อเพลิงชนิดอื่นๆซึ่งสามารถจะให้ค่าพลังงานความร้อนได้ มีการปรับตัวขึ้นตามไปด้วยโดยเฉพาะถ่านหิน ส่งผลให้หุ้นในกลุ่มนี้มีการปรับตัวขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง
ภูวดล ลาภอุดมสุข ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์(บล.) เอเซีย พลัส มองว่า การปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาหุ้นในกลุ่มถ่านหินนำโดย บมจ.บ้านปู (BANPU) ได้มีการปรับตัวขึ้นมาแล้วมากกว่า 130% ตั้งแต่ต้นปี ซึ่งเป็นราคาที่ยังไม่รวมจากโครงการหงสาลิกไนต์ และการนำบริษัทย่อยเข้าจดทะเบียนในตลาดอินโดนีเซีย ขณะที่ บมจ.ลานนารีซอร์สเซส (LANNA) ก็ปรับตัวแล้ว 90% ทั้งนี้เนื่องจากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาถ่านหินในตลาดโลก โดยปัจจุบันทรงตัวที่ระดับ 68.95 เหรียญ/ตัน
ทั้งนี้นี้มองว่าราคาถ่านหินจะยังคงทรงตัวในระดับสูงอย่างนี้ต่อไปจนถึงปีหน้า เพราะความต้องการใช้จากประเทศจีน และอินเดีย ซึ่งเป็นประเทศที่อยู่ระหว่างพัฒนา ทำให้มีความต้องการใช้ถ่านหิน เพื่อไปใช้ในอุตสาหกรรมโรงไฟฟ้า และอื่นๆในการพัฒนาประเทศ
ถือเป็นปัจจัยบวกกับหุ้นในกลุ่มเหมืองถ่านหิน โดยเฉพาะ BANPU เพราะมีการทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้าเพียง 70% และที่เหลืออีก 30% เป็นการขาย ณ ราคาตลาด ขณะที่ LANNA มีการทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้าสูงถึง 80% ชี้ให้เห็นว่า BANPU ได้ประโยชน์จากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาถ่านหินสูงกว่า
"จากทิศทางราคาถ่านหินที่ทรงตัวสูงในขณะนี้ และต่อเนื่องไปถึงปีหน้านั้น จะส่งผลดีในแง่ของผลการดำเนินงานของบริษัทในกลุ่มธุรกิจถ่านหินปรับตัวได้อย่างโดดเด่นในปี 2551 ซึ่งในไตรมาส 4/2550 LANNA เริ่มที่จะมีการทำสัญญาล่วงหน้า เพื่อจำหน่ายถ่านหินในปี 2551 และมองว่าราคาในการทำสัญญาในครั้งนี้จะปรับตัวสูงขึ้นช่วงช่วงก่อนมาก ขณะที่ BANPU คาดว่าจะเริ่มดำเนินการทำสัญญาล่วงหน้าได้ในช่วงถัดไป"
นอกจากผลการดำเนินงานที่ได้จากการดำเนินธุรกิจหลักในการขายถ่านหินแล้วยังจะมีการนำบริษัทลูกเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เหมือนกัน โดย BANPU จะนำบริษัทเหมือง ITM ในอินโดนีเซีย เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์อินโดนีเซีย ได้ในช่วงปลายปีนี้ ส่วน LANNA ก็จะนำ ไทย อะโกร เอ็นเนอร์ยี่ (TAE) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่มีสัดส่วนการถือหุ้นสูงถึง 75.75% เป็นผู้ผลิตเอทานอล เข้าตลาดหลักทรัพย์ไทยได้ในปีหน้า ซึ่งมองว่าทั้งสองบริษัทจะมีรายได้พิเศษจากการนำบริษัทลูกเข้าจดทะเบียนทำให้ผลดำเนินงานออกมาดียิ่งขึ้น
ในส่วนของธุรกิจในช่วงปลายปีนี้ BANPU จะสามารถสรุปผลการศึกษาในโครงการหงสาลิกไนต์ ซึ่งมีกำลังการผลิตสูงถึง 1,800 เมกะวัตต์ได้ ส่วน LANNAก็จะสามารถเปิดดำเนินการเหมืองในอินโดนีเซียได้ด้วยเช่นกัน
ประเมินแล้วพบว่า BANPU ยังคงน่าสนใจกว่า LANNA เพราะเป็นหุ้นที่มีมาร์เก็ตแคปสูงถึง 9.8 หมื่นล้านบาท ซึ่งติดอันที่ 13 ของ SET 50 ขณะที่ LANNA เป็นหุ้นขนาดเล็กกว่า และมีมาร์เก็ตแคปเพียง 6,475 ล้านบาทเท่านั้น โดยขณะนี้อยู่ระหว่างปรับประมาณการขึ้น
ด้านบทวิเคราะห์ บล. โกลเบล็ก ได้มีการปรับราคาเหมาะสมของ BANPU ปี 2551 ใหม่เป็น 411 บาท จากเดิมที่ให้ไว้ 295 บาท และแนะนำ "ซื้อลงทุน" อิงค่าพี/อี 14.80 เท่า และทำให้ราคาหุ้นมีอัพไซด์เพิ่มมากขึ้นจากราคาหุ้นในปัจจุบัน ประกอบกับ BANPUยังมีปันผลเฉลี่ยที่ 4% ต่อปี
นอกจากนี้มองว่าราคาถ่านหินมีโอกาสที่จะปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง โดยล่าสุดราคาถ่านหินในตลาด BJI อยู่ที่ 68.95 เหรียญ/ตัน เพิ่มขึ้น 34%จากต้นปี ขณะที่ราคาเฉลี่ย 9เดือน อยู่ที่ 59 เหรียญ/ตัน สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน 19% และมากกว่าที่คาดไว้
ดังนั้นฝ่ายวิจัยได้ปรับประมาณการณ์ปี 2551-2552 เนื่องจากราคาขายในช่วงที่เหลือของปีได้มีการกำหนดล่วงหน้าไว้แล้ว จึงยังไม่ได้รับประโยชน์จากราคาถ่านหินเพิ่มขึ้นมากนัก โดยยังคงประมาณการปี 2550 ตามเดิมที่คาดว่าจะมีกำไรสุทธิ 5,964 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 65.20% เมื่อเทียบจากปีก่อน
อย่างไรก็ตาม จากราคาถ่านหินที่สูงกว่าคาดปรับสมมติฐานราคาขายเฉลี่ยถ่านหินของ BANPU ในปี 2551-2552 เพิ่มขึ้นจาก 42 เหรียญ/ตัน เป็น 45 เหรียญ/ตัน แต่ยังคงปริมาณขายตามเดิมที่ 20 ล้านตัน และ 20.2 ล้านตันตามลำดับ ซึ่งหลังปรับประมาณการราคาถ่านหินแล้วได้ประเมินกำไรสุทธิปี 2551 ใหม่ได้ 7,520 ล้านบาท จากเดิมที่ให้ไว้ 6,998 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการขยายตัว 26.1% เมื่อเทียบจากปีก่อน และกำไรสุทธิปี 2552 ที่ 7,948 ล้านบาท จากเดิมที่ให้ไว้ 7,161 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.70% จากปีก่อน
|