ส.อ.ท.ระบุ EIA กดขยายลงทุน-ลงทุนใหม่กว่า 1.5 แสนล้าน จี้รัฐแก้ไขหวั่นนักลงทุนย้ายฐานหนีไปประเทศอื่นแทน ด้าน BOI เผยยอดอนุมัติลงทุนปิโตรฯในรอบ 9 เดือน 10 โครงการมูลค่าลงทุนรวม1.1แสนล้านและจ่อรอขออนุมัติอีกเพียบ ด้านโบรเกอร์ชี้อนาคตปิโตรฯสดทั้งใน-นอก เพราะ “จีน” เลื่อนโครงการออกไปเพราะขาดบุคลากร พร้อมยืนยันหุ้นในกลุ่มปิโตรฯ ในปีหน้ามีอนาคตทุกตัว
ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมากลุ่มธุรกิจปิโตรเคมียังติดปัญหาเรื่องสิ่งแวดล้อม (EIA) ที่นิคมฯมาบตาพุดจ.ระยองเพราะประชาชนในพื้นที่ต่อต้านไม่ให้สร้างหรือขยายโครงการลงทุนเพิ่มเติมโดยหลายโครงการใหญ่ๆต้องรอตรวจสอบมาตรฐานก่อน ทำให้นักลงทุนส่วนหนึ่งเริ่มกังวลและอาจจะย้ายฐานการผลิตไปประเทศอื่นแทน แต่ภาพรวมสถานการณ์ของธุรกิจกลุ่มปิโตรเคมีทั้งใน-นอกยังไปได้ดีเพราะความต้องการของตลาดจากโอเลฟินส์และอะโรเมติกส์ยังมีความต้องการจำนวนมาก
เผย 13 โครงการยักษ์รอผ่าน EIA
แหล่งข่าวจากกลุ่มอุตสาหกรรมปิโตรเคมี สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.)เปิดเผยกับ “ผู้จัดการรายสัปดาห์ว่า” ว่าขณะนี้ภาคเอกชนมีความกังวลเกี่ยวกับการอนุมัติการลงทุนกิจการปิโตรเคมีในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดจ.ระยองที่อยู่ระหว่างการรอผลจากคณะกรรมการผู้ชำนาญการ (คชก.) ที่พิจารณาเห็นชอบรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) 13 โครงการมูลค่าลงทุนกว่า 1.5 แสนล้านบาทที่อาจจะต้องเลื่อนไปเพื่อรัฐบาลชุดใหม่เข้ามาบริหารงานซึ่งจะกระทบต่อการลงทุนภาพรวมอย่างมาก ภาคเอกชนจึงต้องการให้รัฐบาลช่วง 3 เดือนที่เหลือนี้มีการพิจารณาการลงทุนให้เกิดความชัดเจน เพราะขณะนี้เอกชนกังวลใจมาก ๆ เพราะยังมองไม่ออกว่าหากต้องรอรัฐบาลใหม่มาจะต้องใช้เวลาพิจารณาไปอีกมากน้อยเพียงใด
ซึ่งหากล่าช้าออกไปจะกระทบใน 3 ด้านคือ 1. สถาบันการเงินต่างๆที่เตรียมเจรจาไว้อาจต้องเลื่อนออกไป 2.โครงการที่ต้องการวัตถุดิบต่อเนื่องจากการลงทุนที่เกิดขึ้นอาจต้องชะลอการผลิตกล่าว และ3.เงินลงทุนที่ลากยาวไปอาจมีปัญหาต่อค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นเพราะอุปกรณ์ล่าสุดมีทิศทางจะแพงขึ้น 20-30% ในระยะยาว
หวั่นสถานการอึมครึมนักลงทุนย้ายฐาน
อย่างไรก็ตามยังยืนยันว่าพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จ.ระยองมีความเหมาะสมที่สุดในการ พัฒนาอุตสาหกรรมปิโตรเคมเพราะติดทะเล มีระบบ ท่อก๊าซธรรมชาติที่เป็นวัตถุดิบรองรับทำให้อุตสาหกรรมปิโตรเคมีซึ่งส่งผลให้ประเทศไทยมีศักยภาพมากที่สุดในอาเซียน ส่วนที่จะหาพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมแห่งใหม่ๆที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์นั้น จะมีพื้นที่ที่มีปัญหาเรื่องลมมรสุมและเป็นเส้นทางพายุไต้ฝุ่นพัดผ่านบ่อยอาจส่งผลกระทบต่อการลงทุนอุตสาหกรรมหนักได้
“ในอนาคตหากความชัดเจนเรื่องสิ่งแวดล้อมยังไม่คืบหน้าอาจทำให้นักลงทุนเกิดความลังเลและย้ายฐานการลงทุนไปต่างประเทศแทน” แหล่งข่าวระบุ
BOIอนุมัติลงแทนแล้ว 1 แสนล้าน
ขณะที่ตัวเลขการขอรับการส่งเสริมลงทุนจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) พบว่าในช่วง 8เดือนที่ผ่านกลุ่มอุตสาหกรรมปิโตรเคมีขอรับการส่งเสริมและมีการอนุมัติให้การส่งเสริมแล้วจำนวน 10 โครงการเงินลงทุนรวม116,658 ล้านบาทและอยู่ระหว่างรอการอนุมัติจาก BOI อีก11โครงการมีมูลค่าเงินลงทุนรวม 69,180 ล้านบาท
โดยกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีที่ขอรับการส่งเสริมการลงทุนดังกล่าวอาทิ กลุ่มบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (บมจ.) ธุรกิจปิโตรเคมีในเครือ, บมจ.ซิเมนต์ไทย, กลุ่มอินโดรามา และบมจ. วีนิไทย ,บมจ.ปตท. เคมิคอล, บริษัทมาบตาพุดโอเลฟินส์ จำกัดผลิต, บมจ.โรงกลั่นน้ำระยอง, บริษัทไทยเอ็มเอ็มเอ จำกัด
ด้านบริษัทหลักทรัพย์โกลเบล็กจำกัด วิเคราะห์ว่าธุรกิจกลุ่มปิโตรเคมียังมีมุมมองในเชิงบวกเนื่องจากแนวโน้มโครงการผลิตปิโตรเคมีหลายโครงการในประเทศจีนจะเลื่อนเปิดดำเนินการออกไปจากกำหนดเดิมจากการขาดแคลนบุคคลากรซึ่งเป็นปัญหาทั้งอุตสาหกรรมทั่วโลก ขณะเดียวกันการลงทุนในกลุ่มปิโตรเคมีที่ Overweight จากความกังวลในเรื่องของโครงการปิโตรเคมีของประเทศจีนในปี 2551-2554 ที่จะเลื่อนออกไปและยังไม่รู้กำหนดการที่ชัดเจนด้วย เนื่องจากปัญหาในเรื่องการขาดแคลนบุคลากรโดยเฉพาะวิศวกรด้านปิโตรเคมีทำให้คาดว่าโครงการขยายกำลังการผลิตปิโตรเคมีในตะวันออกกลางและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็อาจเกิดปัญหาเดียวกันด้วย
โบรกฯชี้ปิโตรฯยังสดในถึงปีหน้า
สำหรับผลกระทบต่ออุปทานปิโตรเคมีสายโอเลฟินส์คาดว่า จะส่งผลค่อนข้างรุนแรงเนื่องจากปี 2551 ประเทศจีนมีโครงการขยายกำลังการผลิตเอทีลีนจำนวน 1 ล้านตันต่อปีและโครงการขยายกำลังการผลิตเอทีลีนรวมประมาณ 5 ล้านตันต่อปีภายในปี 2552-2554 ที่คาดว่าจะเลื่อนกำหนดการเปิดออกไป ทำให้คาดว่าอุปทานของปิโตรเคมีสายโอเลฟินส์จะไม่เพิ่มขึ้นมากอย่างที่หลายฝ่ายได้คาดการณ์ไว้ ส่วนปิโตรเคมีสายอะโรเมติกส์ก็คาดว่าจะมีผลกระทบในลักษณะเช่นเดียวกันกับโครงการผลิตโอเลฟินส์เนื่องจากเป็นปัญหาในเรื่องการขาดแคลนบุคลากรในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีจึงคาดว่าน่าจะได้รับผลกระทบทั้งอุตสาหกรรม
ขณะที่อุปทานของปิโตรเคมีในปี 2551-2554 ที่คาดว่าจะไม่เพิ่มขึ้นตามที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้ จึงทำให้สเปรดของอุตสาหกรรมปิโตรเคมีโดยเฉลี่ยน่าจะทรงตัวอยู่ในระดับสูงตลอดปีหน้าเป็นอย่างน้อย ดังนั้นฝ่ายวิจัยจึงมีแนวโน้มที่จะปรับประมาณการณ์ของหุ้นในกลุ่มปิโตรเคมีในปี 2551 เพิ่มขึ้น หุ้นในกลุ่มนี้ที่แนะนำซื้อคือ ATC ถึงแม้ว่าผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/2550 อาจจะลดลงจากปีก่อนแต่ยังมีมุมมองที่ดีต่อ ATC ในอนาคตทั้งเรื่องกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นจากโครงการอะโรเมติกส์ 2 และสเปรดที่น่าจะทรงตัวในระดับสูงได้ต่อเนื่องในปี 2551 รวมทั้งผลประโยชน์จากการควบรวมกิจการกับ RRC เช่นเดียวกับ PTTCH ที่จะได้รับปัจจัยบวกจากสเปรดของปิโตรเคมีสายโอเลฟินส์ที่มีแนวโน้มทรงตัวอยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง
ยึดคืน IRPC เป้าหมาย “ประชัย”
อย่างไรก็ดีอาจจะเพราะอนาคตธุรกิจปิโตรเคมีที่สดใสนี่เองอาจจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ “ประชัย เลี่ยวไพรัตน์” อดีตผู้บริหารเดิมและผู้ก่อตั้ง บริษัท อุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย จำกัด (มหาชน) หรือTPI ต้องการยึดคืนธุรกิจในเครือไออาร์พีซี จำกัด (ทีพีไอเดิม) คืนมา เขาจึงสู้ยิบตาหันหน้าเข้าสู่ถนนการเมืองอย่างเต็มตัวในตำแหน่งหัวหน้าพรรคมัชฌิมาธิปไตย ซึ่งเขากล่าวยืนยันสั้นๆว่า “ ธุรกิจปิโตรเคมีไม่มีปัญหายังขายได้ และยังสามารถทำกำไรได้ดีด้วย”
สำหรับธุรกิจปิโตรเคมีของกลุ่มไออาร์พีซีนั้นประกอบด้วย 1.โอเลฟินส์ ประกอบด้วย เอทธีลีน โพรพิลีน และ บิวทาไดอีน ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำหรับผลิตเม็ดพลาสติกชนิดต่างๆ ส่วนใหญ่ใช้ป้อนโรงงานในเครือไออาร์พีซีเกือบทั้งหมดกำลังการผลิต 728,000 ตันต่อปี 2. อะโรเมติกส์ เริ่มผลิตได้พร้อมกับโอเลฟินส์ในปี 2540 ประกอบด้วย เบนซิน (Benzene) โทลูอีน (Toluene) ไซลีน (Xylene) หรือ BTX ปัจจุบันมีกำลังการผลิต 367,000 ตันต่อปี ส่วนใหญ่ใช้ป้อนโรงงานผลิตผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีขั้นกลางของบริษัทฯ และจำหน่ายให้บุคคลภายนอกบางส่วน 3.เม็ดพลาสติกเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อจำหน่ายที่สำคัญของบริษัทฯ ประกอบด้วย เม็ดพลาสติกชนิด HDPE และ PP เรียกว่า โพลีโอเลฟินส์ (Polyolefins)และกลุ่มเม็ดพลาสติกชนิด ABS/SAN PS และ EPS เรียกว่า สไตเรนิค (Styrenics)ซึ่งมีคุณสมบัติแตกต่างกันตามลักษณะการนำไปใช้งาน และ 4.ผลิตภัณฑ์โพลีออลเป็นวัตถุดิบสำหรับผลิตโพลียูรีเทน ได้แก่ โพลีอีเทอร์โพลีออล โพลีเอสเทอร์โพลีออล พรีโพลีเมอร์ โดยโพลียูรีเทนสามารถนำไปผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ชนิดต่าง ๆ เช่น โฟมที่ใช้ในการทำเฟอร์นิเจอร์ ฟูกโฟมที่ใช้เป็นฉนวนกันการถ่ายเทความร้อนในอุตสาหกรรมก่อ สร้างอาคาร และอุปกรณ์ทำความเย็นต่างๆ และโฟมสังเคราะห์ซึ่งใช้ทำพื้นรองเท้า
|