นับจากเหตุการณ์ BLACK MONDAY เมื่อจันทร์ 19 ตุลาคม 1987 ที่เกิดวิกฤตการณ์ดัชนีราคาหุ้นดาวโจนส์ตกฮวบลงวันเดียวกว่า
500 จุด แล้วส่งผลกระทบถึงอุตสาหกรรมทั้งระบบ ทำให้บริษัทหลักทรัพย์ในสหรัฐอเมริกาต้องปลดพนักงานไปแล้วประมาณ
24,000 คน แต่ก็ยังมีผลกระทบสืบเนื่องจนถึงทุกวันนี้ที่ทำให้สรุปกันว่า จำนวนพนักงาน
ตัวสินค้า ระบบ และสินทรัพย์ของอุตสาหกรรมหลักทรัพย์ยังมีมากเกินไป ขณะที่จำนวนลูกค้ามีไม่เพียงพอเสียแล้ว
จากนั้น ทุกอย่างก็ดำเนินไปสู่ภาวะที่เคยเป็นมาทุกครั้ง คือ มีการหยิบยกปัญหา
"การบริหาร" ขึ้นมาถกกันว่าเป็นสาเหตุของความตกต่ำที่เกิดขึ้น
แต่พอสถานการณ์ฟื้นตัวและดำเนินไปด้วยดี ทุกคนก็ลืมปัญหาการบริหารที่ว่านี้เสียสิ้น
"ตอนนี้เลยมีคนคิดผิด ๆ กันไปทั่วว่า บรรดาบริษัทหลักทรัพย์ในวอลล์สตรีทเป็นพวกบ้าคลั่ง
เป็นพวกที่บริหารงานแบบห่วย ๆ เลยทำให้ต้องประสบปัญหาย่ำแย่ทุก 5 ปี"
จอห์น นีน ที่ปรึกษาประจำบริษัท CRESAP MCCORICK & PAGET ในอังกฤษตั้งข้อสังเกต
จะอย่างไรก็แล้วแต่ ปัญหาที่วอลล์สตรีทเผชิญอยู่ตอนนี้แตกต่างจากที่เคยเป็นมาทุกครั้งอย่างแน่นอน
มันเป็นปัญหาที่ไม่อาจปล่อยให้ผ่านเลยไปเฉย ๆ ได้ เพราะมันเกิดขึ้นพร้อมกับภาวะความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญเลยทีเดียว
คือ หลังจากเสวยสุขกันเต็มที่จากภาวะบูมของตลาดหุ้นช่วงระหว่างปี 1982-1987
ทศวรรษ 1990 จะกลายเป็น "ยุคแห่งความอัตคัด" ที่ต้องมีการปันส่วนน้ำและอาหารกันทั่วหน้า
อย่างที่บริษัทมูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส คาดหมายว่า "ตลอดศตวรรษที่เหลือต่อจากนี้
อุตสาหกรรมหลักทรัพย์จะต้องเผชิญภาวะแข่งขันเข้มข้น เมื่อผนวกกับส่วนเกินที่ยังคงอยู่แล้ว
จะก่อให้เกิดความหวังในการทำกำไรลางเลือนลงเรื่อย ๆ "
ความตกต่ำในแง่ของผลกำไรและขวัญกำลังใจของพนักงานเมื่อหลายครั้งก่อนหน้านี้นั้น
มีสาเหตุหลักจากที่ราคาหุ้นและมูลค่าการซื้อขายลดฮวบลง แต่สำหรับครั้งนี้
ปรากฏว่าสภาพตลาดหุ้นยังดีอยู่ คือ ดัชนีราคาหุ้นของปี 1989 สูงขึ้นจากปีก่อนหน้าถึง
20% แต่มูลค่าการซื้อขายลดลงมาก ขณะเดียวกันนักลงทุนรายย่อยก็หายหน้าไปอย่างเห็นได้ชัดในช่วง
3 ปีหลัง ซ้ำร้ายกว่านั้นในส่วนของตลาดแรกที่ออกหุ้นใหม่ขายแก่มหาชนก็ซบเซาตลาดจังค์บอนด์เองนั้นหาคุณค่าอะไรไม่ได้
และบรรดานักปั่นหุ้นผู้ทำกำไรอย่างน่าละอายมหาหลายปี ก็ยังไม่วายฉกฉวยกำไรกว่า
100 ล้านดอลลาร์จากความล้มเหลวของฝ่ายบริหารยูไนเต็ดแอรด์ไลน์ (ยู เอ แอล)
ที่พยายามซื้อบริษัทยูเอแอล ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของสายการบินยูไนเต็ด แอร์ไลน์
กระนั้นก็ตาม สำหรับเกมผนวกและซื้อกิจการที่เคยทำเงินอย่างงามนั้น แม้จะลดลงจากที่เคยทำได้ในปี
1988 ถึง 250,000 ล้านดอลลาร์ แต่ก็ยังเป็นแหล่งรายได้มหึมาของพวกอินเวสท์เมนท์แบงก์ไม่กี่รายที่มีความช่ำชองสูงอยู่ดี
โดยมีแรงผลักดันต่อเนื่อง คือ ความแข็งแกร่งของสภาพเศรษฐกิจพื้นฐานของสหรัฐอเมริกาเอง
ซึ่งก่อให้เกิดการซื้อขายกิจการแบบ LBO (LEVERAGED BUYOUT) กันอย่างบ้าคลั่ง
และการเก็บกำไรในรูปแบบอื่น ๆ อีกมากมายนั่นเอง
คราวนี้เมื่อเกิดปฏิกริยาในลักษณะเป็นเอกภาพของบรรดาบริษัทหลักทรัพย์ยักษ์ใหญ่
ไม่ว่าจะเป็นการประกาศปลดพนักงานออกทีละมาก ๆ ผลประกอบการขาดทุน การตัดโบนัสประจำปี
และการหดตัวทางกิจกรรมธุรกิจ เหล่านี้ล้วนทำให้อุตสาหกรรมทั้งระบบต้องยอมรับและเผชิญหน้ากับจุดอ่อนของตนเองอย่างช่วยไม่ได้
"ก่อนจะเกิดวิกฤตการณ์ BLACK MONDAY ปี 1987 วงการนี้ไม่เคยใช้บริการที่ปรึกษาด้านบริหารสำหรับงานวิเคราะห์ยุทธวิธีเลย
ในช่วงนั้นพวกนักลงทุนประเภทสถาบันต่างพูดอย่างผยองว่า เรารู้จักธุรกิจที่ทำอยู่ดี
ไม่จำเป็นต้องพึ่งคนพวกนั้น" ฌองหลุยส์ ลีโอเกียส์ แห่งบริษัทบูชอันเล่น
แอนด์ แฮมิลตัน ตั้งข้อสังเกต "แต่ปัจจุบันเมื่อพวกเขาสูญเสียเงินจำนวนมหาศาลไป
ก็จำเป็นต้องพึ่งทิศทาง จึงเป็นครั้งแรกที่พวกเขาเริ่มเห็นความสำคัญ และเรียกใช้บริการของเรา
เพื่อรับผิดชอบในด้านของยุทธวิธีโดยเฉพาะ"
เมื่อเข้าไปจับงานอย่างจริงจัง บริษัทที่ปรึกษาเหล่านี้มักพบข้อบกพร่องของบริษัทหลักทรัพย์ในแง่ขาดการวางแผน
ระยะยาว การควบคุมภายในไม่เพียงพอ รวมทั้งจุดอ่อนที่บ้าเห่อตามแฟชั่น ในการพัฒนาระบบธุรกิจให้ครอบคลุมทั่วโลก
และสำคัญที่สุด คือ ความทะเยอทะยานจะก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดให้ได้ ซึ่งบางลักษณะของข้อบกพร่องที่ว่านี้
โดยเนื้อแท้แล้วก็แตกต่างจากหลักกาบริหารโดยสิ้นเชิง
"ถ้าคุณลองให้นักบริหารของบริษัทที่ปรึกษาเข้ามารับผิดชอบบริษัทหลักทรัพย์ในวอลล์สตรีทดู
จะเห็นได้ชัดว่า พวกเขาไม่มุ่งเน้นทะยานขึ้นสู่จุดสูงสุดเด็ดขาด" จอห์น
นีน คนเดิมให้ความเห็นต่อ "พวกเขาจะไม่ยอมเข้าใจว่าการวิ่งตามแนวโน้มของตลาดจะมีความสำคัญยิ่งกว่าการลดต้นทุนเด็ดขาด"
แต่ถ้าลองให้อดีตอินเวสท์เมนท์แบงก์เกอร์ หรือโบรกเกอร์เข้ามารับผิดชอบบ้าง
จากข้อเท็จจริงที่ผ่านมานั้น พวกเขามีแนวโน้มจะไม่สร้างชื่อเสียงเกียรติยศให้ตัวเอง
ในฐานะนักบริหารชื่อก้องส่วนใหญ ่เพราะพวกเขาขาดสมดุลระหว่างความมีเหตุมีผลและเล่ห์เหลี่ยม
ระหว่างระบบที่ดีและสัญชาตญาณของผู้ประกอบการ ระหว่างยุทธวิธีและการฉวยโอกาส
จึงเห็นได้ว่า ตลอดทศวรรษที่ผ่านมา พวกเขาเร่งขยายกิจการจนดูราวกับจะไม่มีวันพรุ่งนี้อีกแล้ว
จึงไม่แปลกที่เมื่อรวมเงินลงทุนของบริษัทยักษ์ใหญ่ทั้งหมดเข้าด้วยกันแล้ว
มันจะเพิ่มทวีจาก 5.4 พันล้านดอลลาร์ในปี 1980 เป็น 27 พันล้านดอลลาร์ในปี
1988 ซึ่งมีไม่น้อยทีเดียวที่เป็นการลงทุนแบบแห่ตามกันจนก่อให้เกิดภาวะ "ล้น"
มาถึงปัจจุบัน
"อันนี้ไม่เป็นข้อน่ากังขาเลย" ศาสตราจารย์ซามูเอล เฮย์ที่ 3
แห่งฮาร์วาร์ด บิสซิเนสสคูล เชื่อมั่น "ถ้าพวกผู้บริหารทำได้ดีกว่าในแง่การประเมินความเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้น
พวกเขาสร้างสมการอะไร จะเกิดขึ้น - ถ้า ขึ้นมาได้ เช่น ถ้าพวกเขาผ่านพ้นหนึ่งในเงื่อนไขที่เราได้เห็นในช่วงต้นปี
1987 มาได้ มันก็จะเป็นสัญญาณส่อถึงจุดอ่อนสำคัญที่สุดที่จะเป็นผลเสีย และพวกเขาอาจได้เตรียมการณ์บางอย่างเพื่อรับมือไว้ก่อนก็ได้"
ส่วน คริส กรีน ผู้จัดการของเฟิร์สต์ แมนฮัตตัน คอนซัลติ้ง กรุ๊ป ให้ความเห็นว่า
"อุตสาหกรรมนี้เป็นโลกของอินเวสท์เมนท์แบงก์และการซื้อขายในระยะสั้น
เป็นหลักจึงมีการเชื่อมั่นอย่างฝังหัวว่า ความต้องการนั้นเป็นสิ่งที่ผันผวนมากเสียจนไม่สามารถจะบริหารอะไรได้
มีการเชื่อกันว่าทันทีที่คุณเริ่มลงมือเขียนแผนงานหรือจัดทำงบประมาณ มันก็จะกลายเป็นเรื่องใช้ไม่ได้ไปพริบตาเช่นกัน
และถ้าแม้แต่เกิดเหตุการณ์ว่า แผนงานหรือร่างงบประมาณที่ทำไว้ผิดพลาด 50%
ของสิ่งที่คุณเรียนรู้จะไม่สามารถนำมาเป็นบทเรียนในแง่อื่นได้อีกเลย"
พวกผู้บริหารของวอลล์สตรีทมักมีแนวโน้มไม่ค่อยคำนึงถึงหลักการในแง่วงจรชีวิตของสินค้า
และไม่เคยเข้าใจเรื่องต้นทุนการดำเนินงานอย่างแท้จริง ปัจจุบันเราจึงพบว่า
พวกเขาพากันละทิ้งธุรกิจหลายแขนงที่กระโจนเข้าไปทำอย่างจริงจังเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา
เช่น ซาโลมอนบราเธอร์ และเพน เวเบอร์ ที่เข้าไปทำธุรกิจอินเวสท์เมนท์แบงกิ้ง
หรือเดร็กเซล เบอร์แน่มแลมเบิร์ตในธุรกิจโบรกเกอร์ เชียร์สัน เลห์แมน ฮัตตันในธุรกิจห้างหุ้นส่วนจำกัด
เมอร์ริลลินซ์ในธุรกิจเรียลเอสเตทและค้าเงินปอนด์อังกฤษ เป็นต้น
ไม่มีผู้บริหารคนไหนฉุกคิดด้วยว่า หุ้นของบริษัทที่จดทะเบียนกับตลาดหลักทรัพย์จะไม่ให้ผลตอบแทนที่น่าพอใจเลยสำหรับปี
1989 และราคาของที่นั่งในตลาดหุ้นนิวยอร์กที่บริษัทโบรกเกอร์ต้องเข้าไปประมูลซื้อเพื่อเข้าเป็นสมาชิกตลาดหุ้นก็ตกต่ำที่สุดในรอบ
4 ปี แต่แน่นอนว่า ท่ามกลางความย่ำแย่ของอุตสาหกรรมทั้งระบบ ย่อมมีอีกหลายบริษัทที่เหมือนกันที่ผงาดขึ้นมา
และประสบความสำเร็จอย่างโดดเด่น อาทิ แบร์สเติร์น มอร์แกน สแตลีย์ และเอ.จี.เอ็ดเวิร์ดส์
เพอร์ริน ลองก์ นักวิเคราะห์ของบริษัทโบรกเกอร์ลิพเพอร์ อนาลิติคอล เซอร์วิส
เชื่อมั่นว่า "ก่อนที่หุ้นในตลาดจะฟื้นตัวขึ้นมาเป็นที่ดึงดูดความสนใจของนักลงทุนอีกครั้งหนึ่ง
อย่างน้อยที่สุดเราต้องได้เห็นราคาหุ้นพวกนี้ตกลงอีก 30-40% บริษัทหลักทรัพย์ทั้งหลายจึงต้องกำจัดส่วนเกินของตนเองออกไป
มันอาจทำให้เราเผชิญภาวะเศรษฐกิจถดถอยไปพร้อม ๆ กันด้วย"
ที่สำคัญ คือ ความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจระดับมหภาค เป็นตัวการหลักในการริดรอนผลกำไรของธุรกิจหลักทรัพย์
เห็นได้จากอัตราค่าคอมมิชชั่นของโบรกเกอร์ประเภทสถาบันตกฮวบลงจากหุ้นละ 26
เซนต์ในปี 1975 เหลือราวหุ้นละ 4 เซนต์เท่านั้นในปัจจุบัน เพราะนักลงทุนประเภทสถาบันพยายามเน้นลดต้นทุนการซื้อขายของตนอย่างหนัก
ยิ่งกว่านั้นในรอบไม่กี่ปีมานี้ การซื้อขายพันธบัตรในสหรัฐอเมริกาที่เคยนิยมกันมากก็กลับลดลงถึงครึ่งต่อครึ่ง
นโยบายให้เสรีภาพในการดำเนินธุรกิจ ก็มีผลกระทบต่อผลกำไรของกิจการประเภทรับประกันการขายหุ้นอย่างมากเช่นกัน
และแม้ว่าปัจจุบันกฎหมาย GLASS STEAGALL ACT ที่แบ่งแยกการดำเนินธุรกิจระหว่างอินเวสท์เมนท์แบงก์
ธนาคารพาณิชย์ออกจากกันอย่างเด็ดขาด จะมีผลบังคับใช้ ยังไม่ถูกยกเลิกไปตามเสียงเรียกร้อง
ธนาคารพาณิชย์ทั้งหลายก็ไม่รีรออีกต่อไป ธนาคารพาณิชย์ทั้งหลายก็ไม่รีรออีกต่อไป
เริ่มรุกคืบเข้าสู่ธุรกิจหลักทรัพย์ในวอลล์สตรีทกันยกใหญ่ นอกจากนี้บริษัทที่ให้บริการการเงินต่างชาติโดยเฉพาะของญี่ปุ่นก็ดาหน้าเข้าแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดด้วย
"ต้องถือว่าเป็นช่วงเวลาแห่งความเลวร้ายที่สุดอีกช่วงหนึ่งเท่าที่วอลล์สตรีทเคยเจอ"
เลวิส กลัคส์แมน รองประธานบริษัทสมิธ บาร์นีย์ แฮร์ริส อัปแฮม ซึ่งอยู่ในเครือไพรเมริกา
คอร์ปอเรชั่น ระบายความอึดอัด
ความจริงแล้ว ลักษณะของการที่อุตสาหกรรมก้าวมาถึงจุดเติบโตทางวุฒิภาวะอย่างนี้
ไม่ถือว่าเป็นเรื่องใหม่แต่อย่างใด ปัญหาอยู่ที่ว่าพวกผู้บริหารในวอลล์สตรีทให้น้ำหนักความสำคัญกับมันหรือไม่
?
เดวิด เมส์เตอร์ ศาสตราจารย์ประจำฮาร์วาร์ด บิสซิเนส สคูล เคยศึกษาและให้คำปรึกษาแก่บริษัทที่ให้บริการระดับมืออาชีพมาโดยเฉพาะให้บทสรุปว่า
ทฤษฎีการบริหารตามตำรานั้น ไม่สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับธุรกิจหลักทรัพย์ได้
เขาให้เหตุผลว่าเมื่อตลาดอยู่ในช่วงบูมก็เป็นเรื่องสมเหตุสมผลที่บริษัทเหล่านี้ต้องเพิ่มทุนและเพิ่มสต๊าฟ
เพราะในช่วงบูมนั้นมีเงินสะพัดมากเสียจนคุณจะถูกมองว่าเป็นไอ้งั่งทันที ถ้าไม่รีบฉวยโอกาสนี้เอาไว้"
ในความเห็นของเมส์เตอร์ จึงคิดว่า เมื่อตลาดซบเซาลงก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะตัดทอนทรัพยากรส่วนเกินออกไปเสียบ้าง
"ในการดำเนินธุรกิจส่วนใหญ่นั้น การบริหารจะช่วยเพิ่มคุณค่าขึ้นมาได้
ด้วยการตัดสินใจด้านยุทธศาสตร์อย่างชาญฉลาด และดำเนินมาตรการตามแบบฉบับการจัดองค์กรที่ดี
แต่สำหรับที่วอลล์สตรีทแล้ว การที่ผู้บริหารจะเข้ามามีโอกาสสร้างมูลค่าเพิ่มในเชิงบริหารแก่องค์กรย่อมน้อยกว่าในธุรกิจอุตสาหกรรมทั่วไป"
เมส์เตอร์ เห็นว่า "การตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ทุกอย่างล้วนเป็นเรื่องของความเสี่ยงเหมือนโยนลูกเต๋านั่นเอง
ไม่ต้องพูดถึงความสามารถในการทำนายว่า ธุรกิจไหนจะบูมที่บริษัทพวกนี้ต้องทำ
คือ หลับตาแล้วใจป้ำเสี่ยงพนันเอา...และพูดกันถึงที่สุดแล้ว วอลล์สตรีทก็ยังมีสภาพไม่ผิดบ่อนคาสิโน
และไม่เพียงจะรองรับเฉพาะนักลงทุนเท่านั้น ยังหมายรวมถึงการบริหารของบริษัทด้วย"
ศาสตราจารย์แห่งฮาร์วาร์ด ผู้นี้ชี้ให้เห็นถึงข้อมูลสนับสนุนทฤษฎีของเขาว่า
การที่ตลาดถูกแบ่งออกเป็นส่วนย่อย ๆ มากมายนั้น ไม่มีใครสามารถทำนายหรือวางแผนล่วงหน้าสำหรับธุรกิจแต่ละส่วนได้
เช่น การที่เดร็กเซล เบอร์แน่ม แลมเบิร์ต กระโจนเข้าริเริ่มตลาดจังค์บอนด์
หรือเฟิร์สต์ บอสตัน เข้าไปส่งเสริมธุรกิจผนวกและซื้อกิจการ ซึ่งทุกอย่างล้วนเกิดขึ้นจากความบังเอิญทั้งนั้น
ปีเตอร์ โคเฮน ประธานบริษัทเชียร์สัน เลห์แมน ฮัตตัน ซึ่งได้ชื่อว่า เป็นบริษัทโบรกเกอร์ที่ย่ำแย่ที่สุดบริษัทหนึ่งในตลาดหุ้นลอนดอน
ยังดื้อแพ่งยืนยันการทำธุรกิจแบบน้ำขึ้นให้รีบตักของอุตสาหกรรมแขนงนี้ว่า
"ถ้าให้เรามีโอกาสเริ่มต้นทุกสิ่งทุกอย่างใหม่อีกครั้งในวันพรุ่งนี้
เรายืนยันว่าจะทำเหมือนเดิมอีกเหมือนกัน ทั้ง ๆ ที่รู้ข้อมูลทุกอย่างว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม
เพราะสิ่งที่เราทุกคนรู้ดีก็คือ ถ้าคุณทิ้งส่วนแบ่งตลาดในธุรกิจส่วนไหนไปก็ตาม
การจะหวนกลับมาทำธุรกิจนั้นอีกครั้งหนึ่งได้ต้องใช้เวลาอีกหลายปีทีเดียว
พวกเราทุกคนจึงแข่งขันสุดฝีเท้าเพื่อให้ได้เข้าเป็นสมาชิกตลาดหุ้นลอนดอนเพื่อให้บริการครบวงจรแก่ลูกค้า...ข้อจำกัดมีอยู่ว่า
ธุรกิจของเราไม่อนุญาตให้คุณใช้จ่าย เพื่อการลงทุนอย่างสุรุ่ยสุร่ายเหมือนกับที่คุณทุ่มงบ
เมื่อต้องการสร้างตลาดซีริลสำหรับอาหารเช้าขึ้นมา หรือเมื่อต้องการสร้างตลาดของผลิตภัณฑ์ใหม่ใด
ๆ ขึ้นมา"
แต่ปัจจุบันแนวความคิดเก่า ๆ ในแง่ต้องให้บริการ "ครบวงจร" ในศูนย์กลางการเงินระดับโลกทุกแห่งกลับลดความสำคัญลง
และต้องหลีกทางให้ยุทธวิธีแทรกช่องว่างในตลาดแทน
"รูปแบบของบริษัทที่ให้บริการแบบครบวงจรจะไม่มีอีกแล้วสำหรับทศวรรษ
90 นี้" เพอร์รินลองก์ แสดงความเชื่อมั่น "คุณจะต้องมีความยืดหยุ่น
และสามารถกระโจนเข้าหา หรือรีบถอนตัวออกเมื่อมีโอกาสหรือเสียโอกาส คุณไม่สามารถทำทุกสิ่งทุกอย่างให้กับลูกค้าทุกคนได้
เปรียบไปก็เหมือนร้านขายรองเท้าคงไม่ขายชุดชั้นในด้วยเป็นแน่ จะเห็นได้ว่า
บริษัทพวกนี้เน้นยุทธวิธีแทรกช่องว่างในตลาดที่พวกเขาคิดว่าถนัดที่สุดมากขึ้นทุกที"
คริส กรีน แห่งเฟิร์สต์ แมนฮัตตัน ก็ตั้งข้อสังเกตว่า "คุณต้องถามตัวเองก่อนว่า
บริษัทของคุณมีความชำนาญพื้นฐานด้านไหน และข้อได้เปรียบในเชิงแข่งขันอยู่ตรงไหน
การจะเป็นผู้ให้บริการครบวงจรในตลาดทั่วโลกนั้นเป็นไปไม่ได้อีกแล้ว"
เขายังเชื่อมั่นว่า วอล์ลสตรีทยังมีข้อได้เปรียบในอีก 2 ด้านด้วยกัน คือ
ด้านการบริหารข้อมูลและระบบควบคุมความเสี่ยงที่ดีขึ้น และการประยุกต์ใช้แนวความคิดในการประเมินค่าผลตอบแทนที่ได้
"แบงก์พาณิชย์ได้รับผลตอบแทนต่อการลงทุนโดยเฉลี่ย 16% ส่วนอินเวสท์เม้นท์แบงก์นั้น
ควรลงทุนก็ต่อเมื่อพวกเขาสามารถทำนายผลตอบแทนที่จะได้รับในอัตรา 25% เพื่อทดแทนความเสี่ยงที่พวกเขาต้องเผชิญ
แต่จริง ๆ แล้วคุณจะเห็นว่า แม้ในช่วงภาวะตลาดบูม ยักษ์ใหญ่อย่างเมอร์ริลลินช์ก็ยังได้รับผลตอบแทนต่อการลงทุนเพียง
13% เท่านั้น"
ปัจจุบัน ถ้าจะให้ชี้ถึงบริษัทที่มีการบริหารที่ดีแล้ว อาจมีอยู่ไม่เกิน
6 บริษัทด้วยซ้ำไป และบริษัทพวกนี้ก็มีคุณสมบัติ ตัวสินค้า และสภาพที่ตั้งทางภูมิศาสตร์
แตกต่างกันไปด้วย บริษัทที่ว่านี้ ได้แก่ โกลด์แมน ชาคส์, มอร์แกน สแตนลีย์,
อี.จี.เอ็ดเวิร์ส, ลาซาร์ด เฟรเรส์, ดี.เอ.เดวิดสันแห่งมอนตานา และเรย์มอน
เจมส์ ไฟแนนเชียล ซึ่งเพอร์ริน ลอง ยกย่องบริษัทที่เอ่ยชื่อมานี้ด้วยเหตุผลที่ว่า
"เป็นบริษัทที่ให้ความสำคัญกับการกำหนดยุทธวิธี และพยายามเดินรอยตามยุทธวิธีที่กำหนดไว้ตลอดเวลา"
สำหรับเดวิด เมส์เตอร์นั้น เชื่อว่า ความมั่นคงก็เป็นกุญแจสำคัญของความสำเร็จ
พร้อมทั้งเพิ่มเติมลักษณะของอิสเวสท์เมนท์แงก์ก็ว่ามี 2 ประเภท ประเภทแรก
เรียกว่า พวก "เกษตรกร" และอีกประเภท คือ "นักล่าสัตว์"
อินเวสท์เมนท์แบงก์ที่จะประสบความสำเร็จด้วยดีนั้น ต้องเลือกทางเดินให้ชัดเจนลงไปสักอย่าง
ถ้าเดินอยู่ระหว่างกึ่งกลางขององค์กร 2 ประเภทนี้ก็จะไม่ประสบความสำเร็จด้วยดีแน่
พวก "เกษตรกร" นั้นเน้นเลือกสินค้าของตัวเองขึ้นมาโดยเฉพาะ และทุ่มลงทุนไปที่ตัวสินค้านั้นเต็มที่
รวมถึงบุคลากรที่จำเป็นสำหรับการพัฒนาสินค้าตัวนั้นด้วย องค์กรลักษณะนี้จะมีการร่วมมือประสานงานกันภายในสูงมาก
พวกเขาต้องตกลงร่วมกันแล้วว่า จะตั้งใจปลูกพืชชนิดไหน จะเก็บเกี่ยวอย่างไร
และส่งถึงมือตลาดอย่างไร
ส่วนพวก "นักล่าสัตว์" จะฉกฉวยผลประโยชน์จากการสนับสนุนแนวความคิดการสร้างผู้ประกอบการรายบุคคลหรือกลุ่มย่อย
ๆ ภายในองค์กร ถ้าพวกเขาตั้งใจออกไปล่าวัวแล้วล่าไม่ได้สักตัว จะไม่มีใครมานั่งบอกให้พวกเขาเปลี่ยนไปล่ากวางหรือจับปลาแทน
ต่างคนต่างทำไปตามแนวที่ตนถนัด
เดวิด เมส์เตอร์ ยกตัวอย่างว่า "โกลด์แมนชาคส์" ได้ชื่อว่าเป็นอินเวสท์เมนท์แบงก์ประเภท
"เกษตรกร" ที่โดดเด่นมาก ขณะที่ "ซาโลมอน บราเธอร์"
ก็เป็นตัวอย่างของ "นักล่าสัตว์"
ที่บอกว่าแต่ละบริษัทต้องเลือกทางเดินของตัวเองให้ชัดเจนลงไปอย่างใดอย่างหนึ่ง
เพราะ "สไตล์การบริหารขององค์กรทั้ง 2 ประเภทนี้ขัดแย้งกันโดยสิ้นเชิง
บริษัทที่พยายามจะฉวยผลประโยชน์จากการบริหารองค์กรทั้ง 2 ประเภทนี้ ต้องมีการประนีประนอม
เรื่องแนวทางการบริหารให้ดี และผลที่ตามมา คือ ทำให้ผลประกอบการด้อยลงไป"
เมส์เตอร์ เชื่อมั่นว่าอย่างนั้น
ดังนั้น สิ่งสำคัญสำหรับอินเวสท์เมนท์แบงก์ไม่ว่าจะอยู่ในวอลล์สตรีทหรือลอนดอนก็คือ
ต้องรู้อย่างกระจ่างใจว่าตัวเองเป็นอย่างไร
และแน่นอนว่า เมื่อมีอินเวสท์เมนท์แบงก์อย่างมอร์แกน สแตนลีย์ หรือโกลด์แมนชาคส์แล้ว
ก็ย่อมมีบริษัทอีกหยิบมือหนึ่งที่สามารถเจริญก้าวหน้าด้วยดี ด้วยการไม่สนใจยึดมั่นในหลักการบริหารที่เป็นระบบ
เช่น แบร์สเติร์น ซึ่งอดีตประธานบริษัทโดนัลด์สัน ลัฟกิน แอนด์ เจนเรตต์
ซึ่งเป็นอินเวสท์เมนท์แบงก์รายหนึ่งยอมรับว่า "ตอนนั้นเราบริหารงานอย่างมีระบบ
มีการตั้งงบประมาณ มีศูนย์กำไร และควบคุมต้นทุน เรารู้ว่ารายได้และกำไรในแต่ละวันมาจากไหน
แต่พอผ่านไปปีแล้วปีเล่า ปรากฎว่าแบร์สเติร์นซึ่งไม่อินเวสท์เมนท์แบงก์ทั้งประเภทเน้นสินค้าเฉพาะด้าน
หรือประเภทมีการขยายแนวธุรกิจออกไปครอบคลุมกว้างขวางล้วนมีโอกาสเท่าเทียมกัน
และเท่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ขณะที่ยักษ์ใหญ่อย่างเมอร์ริลลินช์หรือเซียร์สัน
เลห์แมน ฮัตตัน ต้องปลดพนักงานกันยกใหญ่นั้น ปรากฏว่าอินเวสท์เมนท์แบงก์อย่างเอ.จี.เอ็ดเวิร์ดส์ที่เน้นลูกค้ารายย่อยและมีสำนักงานสาขาถึง
370 แห่งกลับอยู่ในระหว่างจ้างสต๊าฟเพิ่ม
ลอว์เรนซ์ เอคเกนเฟลเดอร์ นักวิเคราะห์ของพรูเดนเชียล บาค ซีเคียวริตี้ส์
พูดถึงเหตุการณ์นี้ว่า "เอจีเอ็ดเวิร์ดส์เป็นอินเวสท์เมนท์แบงก์รายใหญ่ที่เน้นลูกค้ารายย่อยเพียงบริษัทเดียวที่ยังทำกำไรอย่างน่าประทับใจในรอบ
2 ปีที่ผ่านมาก็พูดได้ว่าพวกเขาทำในสิ่งที่ถูกต้องนั่นเอง"
สิ่งถูกต้องที่ว่านี้คือ การเน้นลูกค้ารายย่อยของบริษัทขนาดเล็กและขนาดกลางเป็นหลักส่วนธุรกิจ
ที่เน้นลูกค้าประเภทสถาบันหรืออินเวสท์เมนท์แบงกิ้งก็ยังทำอยุ่บ้างพอเป็นกระสาย
ที่เป็นปัญหาใหญ่ในวอลล์สตรีทตอนนี้ คือ มีบริษัทอีกมากมายที่ไม่รู้เลยว่าตัวเองควรเข้าไปเน้นทำธุรกิจด้านไหนให้เป็นเรื่องเป้นราว
นี่คือเหตุผลที่บริษัทประเภทบริการธุรกิจนั่นนิดนี่หน่อยและครบทุกประเภทสำหรับลูกค้าทุกคนกำลังประสบปัญหาขั้นวิกฤตในเวลานี้
เมื่ออยู่ในภาวะคับขันที่แม้แต่ยักษ์ใหญ่ผู้นำในวงการยังอยู่ในสภาพกัดก้อนเกลือกินอย่างนี้
การจะได้ตัวผู้นำที่ได้รับการยอมรับอย่างแท้จริงก็ยิ่งยากขึ้นทุกที แทบไม่น่าเชื่อว่า
เมื่อ 2 ปีที่แล้วนี้เอง เฟิร์สต์ บอสตัน กับเดร็กเซล เบอร์แน่ม แลมเบิร์ต
ยังอยู่ในฐานะฟู่ฟ่าทำกำไรงาม พอถึงตอนนี้กลับมีสภาพเป็นแค่เงาจาง ๆ ของสิ่งที่ตนเคยเป็นอยู่
เพราะผลพวงจากการขาดทุนยับเยินในธุรกิจจังค์บอนด์และการผนวกกิจการนั่นเอง
เชียร์สัน เลห์แมน ฮัตตัน ก็บอบช้ำไม่แพ้กัน อยู่ในระหว่างพยายามลดต้นทุนค่าใช้จ่ายเต็มที่ถึงกับต้องตัดค่าคอมมิชชั่นสำหรับโบรกเกอร์เป็นครั้งแรกในรอบ
15 ปี และปลดพนักงานออกอีก 800 คน
เมอร์ริลลินช์ก็วางแผนจะถอนตัวจากธุรกิจบางประเภท และปลดพนักงานระดับบริหารอีก
1,000 คนในทั่วโลก และประธานบริหารของพรูเดนเชียล บาค ก็ให้ของขวัญวันคริสต์มาสแก่นพักงานได้แค่ช็อคโกแลต
1 แท่ง และจดหมายให้กำลังใจอีก 1 ฉบับ
แต่จะอย่างไรก็ตาม ที่ต้องจดจำไว้เสมอก็คือ ธุรกิจในวอลล์สตรีทนั้นเปลี่ยนแปลงผันผวนตลอดเวลา
และมีแนวโน้มว่าภาวะซบเซาที่เกิดขึ้นมักกินเวลาไม่นานนัก และจอห์น นีน ก็พูดให้เห็นภาพชัดเจนขึ้นว่า
"ใครก็ตามที่ทำธุรกิจในวอลล์สตรีทช่วง 15 ปีหลังมานี้ ต้องยอมรับว่าทำเงินได้มากกว่าพวกนักบริหารของเจเนอรัล
อิเล็คทริคหรือไอบีเอ็ม ซึ่งพวกนี้ได้ชื่อว่าเป็นนักบริหารที่ทำงานอย่างมีระบบและหลักการ
นั่นย่อมหมายความว่า หากมองในแง่ผลตอบแทนโดยรวมแล้ว วอลล์สตรีทก็ได้ทำหน้าที่ที่ถูกต้องของมันแล้ว"