“เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์” ดึงทุนนอก “เอไอจี โกลบอล เรียลเอสเตท” ร่วมลงทุนพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมหรู ระดับซูปเปอร์ลักชัวรี่ ระบุต้องการยกระดับเป็นบริษัทอินเตอร์ ประเดิมโครงการแรกที่สุขุมวิท 31 ราคาขายเฉลี่ย 1.5 แสนบาท/ตร.ม. ส่วนแผนกระจายหุ้นในตลาดคาดสรุปได้ในเดือน พ.ย.
นายสุริยน พูลวรลักษณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ เอ็มเจดี เปิดเผยว่า บริษัทได้ร่วมลงทุนกับบริษัทเอไอจี โกลบอล เรียลเอสเตท อินเวสเมนต์ บริษัทในเครือเอไอจี โฮลดิ้งส์ จากสหรัฐอเมริกา เพื่อร่วมมลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัย ด้วยการจัดตั้งบริษัทเอ็มไอจี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด โดยเมแจอร์ฯ ถือหุ้นในสัดส่วน 51% และเอไอจีถือหุ้น 49% สำหรับเงินลงทุนเบื้องต้นนั้นคาดว่าจะใช้ประมาณ 600 ล้านบาท
ทั้งนี้ การร่วมทุนดังกล่าว จะเป็นลักษณะโครงการต่อโครงการ โดยจะเน้นไปที่การพัฒนาคอนโดมิเนียมระดับซูปเปอร์ลักชัวรี่ โดยโครงการแรกบนถนนสุขุมวิท 31 เนื้อที่ขนาด 3 ไร่ครึ่ง คาดว่าจะพัฒนาเป็นอาคารสูง 2 อาคารพื้นที่ประมาณ 25,000 ตร.ม. ราคาขายเฉลี่ย 150,000 บาทต่อตร.ม. มูลค่าโครงการ 3,000 ล้านบาท ซึ่งจะสามารถเปิดตัวได้ในต้นปี 2551
“แม้ว่าเมเจอร์ฯ จะมีความเชี่ยวชาญในการพัฒนาตึกสูงและเป็นโครงการหรู แต่บริษัทต้องการเป็นบริษัทระดับอินเตอร์ ต้องมีเทคโนโลยี เพื่อพัฒนาโครงการระดับลักชัวรี่ ดังนั้น จึงเลือกที่จะร่วมทุนกับบริษัทที่มีความเป็นอินเตอร์ มีชื่อเสียงระดับโลกอย่างเอไอจีฯ ” นายสุริยนกล่าว
สำหรับแผนการนำหุ้นของบริษัทเข้าซื้อ-ขายในตลาดหลักทรัพย์แห่ประเทศไทยนั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลเสนอขายหลักทรัพย์ (ไฟล์ลิ่ง)ต่อคณะกรรมการกำกับและดูแลตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) คาดว่าจะสามารถสรุปได้ในเดือนพฤศจิกายนนี้ โดยจะกระจายหุ้นจำนวน 200 ล้านหุ้น ส่วนราคานั้นยังไม่สามารถเปิดเผยได้ โดยจะทำการเปิดขายให้แก่นักลงทุนสถาบันก่อน หลังจากนั้นบริษัทจะทำการโรดโชว์แก่นักลงทุนในต่างประเทศต่อไป ทั้งนี้การกระจายหุ้นดังกล่าวจะช่วยให้บริษัทลดสัดส่วนหนี้สินต่อทุนลงจากเดิมอยู่ที่ระดับ 2:1 มาอยู่ที่ระดับ 1.2 : 1
“ยอมรับว่าการร่วมทุนกับเอไอจีฯ จะส่งผลดีต่อราคาหุ้นของบริษัท ส่วนกลุ่มเอไอจีฯจะเข้ามาถือหุ้นเมเจอร์ในอนาคตหรือไม่นั้น ยังไม่สามารถบอกได้ ซึ่งปัจจุบันยังไม่ได้มีการพูดคุยในเรื่องนี้”
ปัจจุบันบริษัทมียอดขายรอรับรู้รายได้อยู่ในมือจำนวน 13,800 ล้านบาท โดยจะเริ่มทะยอยรับรู้ภายใน 2 ปีข้างหน้า แบ่งเป็นรับรู้รายได้จาก 3 โครงการในปี 2551 จำนวน 6,000 ล้านบาท และในปี 2552 จาก 5 โครงการ จำนวน 7,800 ล้านบาท
อนึ่ง ทางบริษัทมีแผนที่จะพัฒนาโครงการตามเมืองท่องเที่ยว โดยจะไปลงทุนโครงการบริเวณหาดจอมเทียนพัทยา 1 คอนโดมิเนียม 2 อาคาร ลูกค้านักธุรกิจและชาวต่างชาติระดับเอ ขึ้นไป มูลค่าโครงการประมาณ 3,300 ล้านบาท ระยะเวลาเริ่มดำเนินการประมาณ ไตรมาส 2 ปี 51 และโครงการคอนโดมิเนียมบริเวณหาดจอมเทียน พัทยา 2 เน้นลูกค้านักธุรกิจและชาวต่างชาติระดับเอขึ้นไป มูลค่าโครงการ 1,600 ล้านบาท เริ่มดำเนินการก่อสร้างประมาณ ไตรมาส 2 ปี 52
|