|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
 |
หุ้นไทยผันผวนหนักก่อนปิดลบ 10 จุด นักลงทุนต่างชาติกลับลำขาย 1.7 พันล้าน หลัง"อินเดีย" ประกาศมาตรการสกัดเงินนอกเข้าตลาดหุ้น บวกกับความกังวลกับปัญหา "ซับไพรม์" อาจจะลุกลามถึงปีหน้า ด้านขุนคลัง "ฉลองภพ" จี้หามาตรการรับมือเงินทุนไหลเข้า-ออก ขณะที่โบรกเกอร์เชื่อเงินทะลักเข้าตลาดหุ้นฮ่องกง-จีน ชี้ดัชนีหุ้นไทยทะลุ 900 จุดยากขึ้น แนะจับตาตัวเลขการสร้างบ้านในสหรัฐฯสะท้อนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ
ภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทย วานนี้ (17 ต.ค.) ช่วงเช้าตลาดหุ้นปรับตัวลดลงอย่างหนัก หลังปรากฎข่าวคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของอินเดีย ประกาศมาตรการสกัดการเข้ามาเก็งกำไรตราสารอนุพันธ์ดัชนีตลาดหุ้นอินเดียในต่างประเทศ จนส่งผลให้ตลาดหุ้นอินเดียปรับตัวลดลงอย่างหนักถึงขึ้นที่ต้องประกาศใช้หยุดพักการซื้อขายหุ้นชั่วคราวเป็นเวลา 1 ชั่วโมง ทำให้นักลงทุนกังวลว่าปัจจัยดังกล่าวอาจจะส่งผลต่อตลาดหุ้นทั่วโลก รวมถึงตลาดหุ้นไทยด้วย
ทั้งนี้ ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงปิดที่ 884.53 จุด ลดลงจากวันก่อน 10 จุด หรือ 1.12% โดยจุดสูงสุดของวันอยู่ที่ 892.27 จุด และจุดต่ำสุดอยู่ที่ 879.27 จุด มูลค่าการซื้อขาย 25,402.05 ล้านบาท ซึ่งนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 1,690.30 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 1,426.73 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 3,117.03 ล้านบาท
นายฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า มาตรการสกัดกั้นการเก็งกำไรของอินเดีย สืบเนื่องจากรัฐบาลเกรงจะมีผลกระทบต่อค่าเงินของประเทศ จึงได้ส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นอินเดียปรับตัวลดลงกว่า 9% รวมทั้งมีการประกาศปิดการซื้อขายหุ้นเป็นการชั่วคราว 1 ชั่วโมง
ทั้งนี้ ไม่แน่ใจว่าสาเหตุที่ตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวลดลงเป็นผลมาจากได้รับผลกระทบจากตลาดหุ้นอินเดียด้วยหรือไม่ แต่อย่างไรก็ตามทางตลาดหลักทรัพย์ไทยดูแลเรื่องเหล่านี้อยู่แล้ว ซึ่งการที่หุ้นตกทำให้สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาของสิ่งเหล่านี้ได้
"เห็นได้ว่าเงินทุนไหลเข้าออกง่ายมาก ซึ่งมีความเสี่ยงตลอดเวลา ดังนั้นเราจึงต้องมีมาตรการอะไรสักอย่างเพื่อดูแลเรื่องนี้ ซึ่งในการไปประชุม World Bank ที่สหรัฐฯ จะมีการนำเรื่องนี้เข้าหารือกับที่ประชุมด้วย เพราะเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องที่ท้าทายต่อการบริหารจัดการเงินทุนไหลเข้าออกเป็นอย่างมาก" นายฉลองภพ กล่าว
ด้านผู้บริหารบริษัทหลักทรัพย์ กล่าวว่า การที่ตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา นอกจากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของหุ้นขนาดใหญ่ โดยเฉพาะในหุ้นพลังงาน ที่ได้รับอานิสงส์จากราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวเพิ่มขึ้นแล้ว ยังมีกระแสข่าวว่ากลุ่มทุนการเมืองได้กลับเข้ามาหากำไรในตลาดหุ้น เพื่อนำเงินไปใช้ในการเลือกตั้งช่วงปลายปีนี้
โดยกลุ่มทุนการเมืองได้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมจากเดิมจะเข้ามาเก็งกำไรในหุ้นขนาดกลางหรือขนาดเล็ก เพื่อทำให้ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ปัจจุบันได้เข้ามาเก็งกำไรในหุ้นขนาดใหญ่ที่มีข่าวในเชิงบวกที่จะช่วยผลักดันให้ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้น ทั้งนี้เพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบจากหน่วยงานที่กำกับดูแล
"หุ้นขนาดใหญ่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างรุนแรง แม้ว่าจะมีข่าวในเชิงบวกเข้ามาสนับสนุน แต่ก็มีเงินที่เป็นทุนทางการเมืองเข้ามาหาผลประโยชน์ในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ราคาหุ้นหลายบริษัที่ปรับตัวขึ้นรุนแรงว่าปัจจัยพื้นฐานค่อนข้างมาก" แหล่งข่าวกล่าว
เงินทะลักเข้าตลาดหุ้นฮ่องกง-จีน
นายอดิพงษ์ ภัทรวิกรม ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ไทยพาณิชย์ จำกัด กล่าวว่า ผลที่เกิดกับตลาดหุ้นอินเดียคงไม่ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยมากนัก แต่หุ้นที่ปรับตัวลดลงน่าจะเกิดจากปัจจัยที่ราคาน้ำมันที่แกว่งตัวค่อนข้าสูง ขณะที่เงินจากตลาดหุ้นอินเดียน่าจะไหลเข้าตลาดหุ้นจีน และฮ่องกงมากกว่า เพราะเป็นตลาดหุ้นขนาดใหญ่ในภูมิภาคเอเชีย
ทั้งนี้ การสกัดกั้นเงินไหลเข้าของอินเดียกับประเทศไทยที่เคยมีการประกาศมาตรการในลักษณะเดียวกันออกมามีเหตุและมีผลที่ต่างกัน ในอินเดียกำไรของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นมีอัตราการเติบโตถึงประมาณ 20% ต่อปีความจำเป็นในการเพิ่งพาเม็ดเงินต่างชาติจึงน้อยกว่าตลาดหุ้นไทย
"ตอนนี้สิ่งที่น่ากลัวที่สุด คือ เศรษฐกิจสหรัฐฯ ว่าจะเป็นอย่างไร เนื่องจากขณะนี้ภาพเศรษฐกิจไม่ดี ทำให้สหรัฐฯต้องดำเนินการหลายอย่าง เพื่อประคองเศรษฐกิจของตัวเองให้ไม่แย่กว่าปัจจุบัน" นายอดิพงษ์กล่าว
อย่างไรก็ตาม โอกาสที่การฟื้นตัวของตลาดหุ้นไทยในรอบนี้จะสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นยืนเหนือ 900 จุดได้ส่วนตัวมองว่ายังมีความเป็นไปได้อยู่มาก แม้ว่าความเป็นไปได้ดังกล่าวอาจจะลดลงจากช่วงก่อนการประกาศมาตรการสกัดกั้นเงินทุนไหลเข้าของอินเดีย
จับตาตัวเลขสร้างบ้านสหรัฐฯ
นางสาวศิริลักษณ์ ปโกฏิประภา ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ กล่าวว่า ตลาดหุ้นทั่วโลกเผชิญแรงขายทำกำไรหลังจากก่อนหน้านี้ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก ประกอบกับความกังวลต่อปัญหาซับไพรม์ที่อาจจะรุนแรงและส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของสหรัฐอีกครั้งหลังนายเบน เบอร์นันกี
ผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ระบุว่าการชะลอตัวของตลาดอสังหาริมทรัพย์อาจจะฉุดรั้งการขยายตัวทางเศรษฐกิจสหรัฐฯอย่างมีนัยสำคัญไปจนถึงปีหน้า
ทั้งนี้ กรณีการปรับตัวลดลงของตลาดหุ้นในอินเดียเพื่อสกัดภาวะฟองสบู่หลังเงินนอกไหลเข้าตลาดหุ้นอินเดียในปีนี้รวมกว่า 8.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ จึงเป็นเหตุผลที่กระทบต่อจิตวิทยาในการลงทุนในตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชีย แต่เชื่อว่าในระยะยาวผลกระทบจากเรื่องดังกล่าวไม่น่าจะส่งผลต่อตลาดหุ้นไทย
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนต้องติดตามข้อมูลเกี่ยวกับการสร้างบ้าน รวมถึงดัชนีราคาผู้บริโภคในสหรัฐว่าจะฟื้นตัวหรือไม่ เนื่องจากตัวเลขดังกล่าวจะสะท้อนถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐได้
ฟินันซ่ามั่นใจตคลาดหุ้นไทยยังสดใส
นายมนต์ชัย จาตุรันต์ภิญญโญ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ฟินันซ่า จำกัด กล่าวว่า ปัจจุบันตลาดหุ้นไทยยังมีความน่าสนใจจนถึงปีหน้า จากแนวโน้มการส่งออกและตัวเลขการจ้างงานอยู่ดี ซึ่งแสดงถึงศักยภาพการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทย ขณะที่ ตลาดหุ้นไทยปัจจุบัน พี/อี เรโช อยู่ที่ 13.5 เท่า เทียบกับตลาดหุ้นภูมิภาคอยู่ที่ 19 เท่า
ทั้งนี้ นักลงทุนระยะยาวควรเลือกลงทุนในหุ้นที่มีผลตอบแทนที่ดี อาทิ กลุ่มการแพทย์ การท่องเที่ยว วัสดุก่อสร้าง ธนาคาร อสังหาริมทรัพย์ ค้าปลีก บันเทิง และกลุ่มทรัพยากรพลังงาน
"เอเอซีพี"เชื่อตลาดหุ้นแตะพันจุด
นายนิเคล ศรีนิวาสัน รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ฝ่ายการลงทุน เอเชีย แปซิฟิค อลิอันซ์ กรุ๊ป กล่าวว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในช่วงไตรมาสสุดท้ายปีนี้ถึงปีหน้าจะสามารถขยายตัวได้ดี เนื่องจากมีความชัดเจนในเรื่องเศรษฐกิจและการเมือง ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยเองมีโอกาสที่จะปรับตัวขึ้นไปแตะระดับ 1,000 จุดได้ภายในสิ้นปีนี้
โดยปัจจัยที่เข้ามาสนับสนุนดัชนีตลาดหุ้นไทยเกิดจาก 3 ปัจจัย คือ หุ้นในกลุ่มพลังงาน ที่มีมูลค่าตลาดตามราคาตลาดรวมถึง 30-35% ของมูลค่าตลาดหลักทรัพย์รวม ยังสามารถปรับตัวไปได้อีก บวกกับ P/E Ratio อยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นภูมิภาค และประเด็นสุดท้าย การเมืองที่จะมีการเลือกตั้งปลายปีนี้ ทำให้นักลงทุนมีความเชื่อมั่นมากขึ้น
สำหรับพอร์ตการลงทุนของบริษัท อยุธยา อลิอันซ์ ซี.พี. ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) AACP ณ เดือนตุลาคม 2550 มีสินทรัพย์สำหรับการลงทุนในตราสารประเภทต่างๆ ทั้งสิ้น 76,300 ล้านบาท ซึ่งเอเอซีพีคาดว่าในสิ้นปีนี้สินทรัพย์การลงทุนภายใต้การบริหารงานของเอเอซีพีจะสามารถเพิ่มขึ้นมาอยู่ในระดับที่สูงกว่า 80,000 ล้านบาทได้อย่างแน่นอน
|
|
 |
|
|