Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ มีนาคม 2533








 
นิตยสารผู้จัดการ มีนาคม 2533
โอสถสภา - พรีเมียร์กรุ๊ป ผิดฝาไม่ผิดตัว             
โดย เพิ่มพล โพธิ์เพิ่มเหม
 

   
related stories

พรีเมียร์กรุ๊ป : เมื่อ "สุวิทย์ - เสรี โอสถานุเคราะห์" ถอดหน้ากากหน้าที่สอง
พรีเมียร์มาร์เก็ตติ้ง ภาพที่ซ้อนทับกับโอสถสภา

   
search resources

โอสถสภา, บจก.
พรีเมียร์กรุ๊ป




"โอสถสภา (เต็กเฮงหยู)" ก่อตั้งในปี 2422 เริ่มต้นจาก แป๊ะ โอสถานุเคราะห์ ผู้ให้กำเนิด "โอสถสภา (เต็กเฮงหยู)" มีบุตร 6 คน ในจำนวนนี้มีสวัสดิ์เป็นลูกคนที่ 3 สวัสดิ์เป็นผู้วางรากฐานโอสถสภาให้หนักแน่นและขยายตัวมากยิ่งขึ้นจนเป็นปึกแผ่นทุกวันนี้

สวัสดิ์มีลูก 6 คน คือ ปราณี (ซึ่งต่อมาแต่งงานกับคนในตระกูลไชยประสิทธิ์) สุวิทย์ สุรัตน์ สุรินทร์ เสรี และคนสุดท้อง คือ สุดา เหตระกูล

ในจำนวน 6 คนนี้ มีบุตรชาย 4 คนเท่านั้นที่มีบทบาททางธุรกิจและทำให้เกิดสายธุรกิจในเครือข่ายโยงใยมากมาย

สุวิทย์พี่ชายคนโตไปสร้างเครือข่ายธุรกิจเงินทุนหลักทรัพย์ คือ บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์จีเอฟ และร่วมกับน้องชายคนเล็ก คือ เสรีก่อร่างสร้าง "พรีเมียร์กรุ๊ป" ขึ้นมา โดยเริ่มจากพรีเมียร์อินเตอร์เนชั่นแนลทำธุรกิจส่งออกนำเข้า

สุรัตน์ น้องคนที่สองไปทำธุรกิจด้านการศึกษา คือ มหาวิทยาลัยกรุงเทพและธุรกิจโฆษณา บางช่วงก็ไปเล่นการเมือง ส่วนสุรินทร์ไม่มีธุรกิจแน่ชัด แต่โดยทั่วไปสุรินทร์มีหุ้นอยู่ในธุรกิจต่าง ๆ มากมาย

ส่วนเสรีนั้น โดยหลักจริง ๆ แล้ว ทำธุรกิจที่ดิน ก่อสร้าง หมู่บ้านเสรีที่หัวหมากก็เป็นของเขา และเขาก็มีส่วนร่วมลงแรงลงขันกับพี่ชายคนโต คือ สุวิทย์สร้างพรีเมียร์มาแต่ตอนต้น ๆ

ส่วนปราณีพี่สาวคนโตยังอยู่ฝ่ายจัดซื้อที่โอสถสภา สุดาน้องสาวคนเล็กสุดเปิดโรงเรียนอนุบาลอโศกวิทย์ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับธุรกิจในตระกูลเลย

ความที่ "โอสถานุเคราะห์" มีพี่น้องเครือญาติมากมาย การแตกแขนงทางธุรกิจจึงไม่สิ้นสุด จนแยกแยะไม่ออกว่าบริษัทใดเป็นของใคร หรือทำไมคนในตระกูลเดียวกันต้องทำธุรกิจซ้ำซ้อน อีกทั้งสถานะของ "โอสถสภา" ก็ดูยิ่งใหญ่มาก จนแทบจะเป็นโฮลดิ้งคอมปานี (HOLDING COMPANY) เข้าไปลงทุนในบริษัทลูกหรือเข้าไปมีอำนาจในการเข้าไปดูแลหรือส่งตัวแทน "มืออาชีพ" เข้าไปบริหารได้

แต่ความเป็นจริงก็คือ "โอสถสภา (เต็กเฮงหยู)" ห่างไกลจากความเป็นบริษัทโฮลดิ้งคอมปานีมาก ๆ

ปัจจุบันโอสถสภาถือหุ้นโดยครอบครัวของพี่น้องทั้งสี่ คือ สุวิทย์ สุรัตน์ สุรินทร์ และเสรี คนละ 25% และผลัดเปลี่ยนกันบริหารคนละ 2-4 ปี หรือแล้วแต่จะตกลงกันภายใน

ลักษณะการถือครองหุ้นโดยพี่น้องทั้งสี่คนละ 25% เช่นนี้ยังมีอีกหลายบริษัท เช่น ไอเอ็ม อินเตอร์เนชั่นแนล (ขายนมของ อสค.) สยามกล้าสอินดัสตรี (ผลิตขวดแก้ว) ดาต้าโปรคอมพิวเตอร์ซิสเต็ม เป็นต้น บริษัทที่มีลักษณะการถือครองหุ้นเช่นนี้ต่อ ๆ มาได้ถูกจัดรวมเป็น "โอสถสภากรุ๊ป" โดยมีโอสถสภาเป็นบริษัทนำโดยปริยาย แต่ไม่ใช่บริษัทเพื่อการลงทุนแต่ประการใด และแต่ละบริษัทมีอิสระจากกัน เพียงแต่ในขณะนี้เพิ่งมีการจัดกลุ่มมารวมกัน โดยสุรัตน์เป็นผู้มีอำนาจการบริหาร

ลักษณะที่สองของการลงทุนโดยพี่น้องโอสถานุเคราะห์ คือ แยกไปทำธุรกิจส่วนตัวของตนเอง สุวิทย์หรือคุณหญิงมาลาทิพย์ลงทุนในนามบริษัท "ล้อมดำริห์" สุรัตน์ในนามบริษัท "ล้อมสวัสดิ์" เสรีในนามบริษัท "สวัสดิ์ดำริห์"

ดังนั้น หากตรวจสอบประวัติบริษัทในเครือของโอสถานุเคราะห์จะพบชื่อของทั้งสามบริษัทปะปนกันไปหลายแห่ง รวมถึงรายชื่อพี่น้องลูกหลานในนามส่วนบุคคลอีกต่างหาก แต่ธุรกิจของใคร ผู้นั้นก็จะเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่หรือเกือบ 100% ไม่เหมือนโอสถสภาที่แบ่งกันคนละ 25% ชัดเจน

พี่น้องแต่ละคนก็จะมีสายธุรกิจแยกออกไป

จะมีทางสายสุวิทย์โดยคุณหญิงมาลาทิพย์และเสรีนี่เองที่มีลักษณะธุรกจิที่ร่วมกันลงทุนอย่างมาก และแตกหน่อพัฒนาไปอย่างต่อเนื่องจนกิจการที่ร่วมทุนทำนั้น แตกแขนงออกไปเป็นสองสาย คือ "พรีเมียร์โกลเบิลคอร์ปอเรชั่น" และ "จีเอฟโฮลดิ้ง"

ดังนั้น สรุปก็คือ ลักษณะเครือข่ายธุรกิจโอสถานุเคราะห์จะมีสามระดับ คือ หนึ่ง - บริษัทที่ถือหุ้นครอบครัวละ 25% เช่น โอสถสภา โอเอ็มอินเตอรืเนชั่นแนล สยามกล้าสอินดัสตรี นอกจากนั้น บริษัทเหล่านี้ก็จะมีกรรมการหรือระดับบริหารหมุนเวียนปะปนกันไปในหมู่ลูกหลานสี่ครอบครัวนี้

สอง - บริษัทที่แต่ละครอบครัวเป็นเจ้าของหรือเข้าไปถือหุ้นโดยเอกเทศ เช่น ไทยฮักกุโฮโดเป็นของสุรัตน์ ครอบครัวเสรีเป็นเจ้าของบริษัทสุวิทย์และเสรี

สาม - บริษัทที่ครอบครัวสุวิทย์และครอบครัวเสรีร่วมลงทุนคนละครึ่งหรือเป็นแกนหลักในการร่วมลงทุนกับต่างประเทศ คือ พรีเมียร์โกลเบิลและจีเอฟโฮลดิ้ง

แม้ว่าการแบ่งสายธุรกิจเช่นที่ "ผู้จัดการ" แบ่งไว้เช่นนี้อาจจะมีการแบ่งไว้แล้วอย่างหลวมๆ หรือเป็นที่รู้กันในหมู่พี่น้องเป็นเวลานานมาแล้ว แต่ในช่วงเวลาปัจจุบันการแบ่งสายบริษัทในเครือชัดเจนมากขึ้น แม้แต่สุรัตน์เองก็ยังต้องออกมาแถลงความเปลี่ยนแปลงภายในของโอสถสภาอย่างเป็นทางการ ความเปลี่ยนแปลงนี้ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า เป็นแรงผลักด้านหนึ่งจากบรรดาลูก ๆ หลาน ๆ และที่สำคัญก็คือ เขยทั้งสองคนของคุณหญิงมาลาทิพย์นั่นเอง ทั้งนี้โดยดูจากแรงผลักดันที่ทำให้เกิดกลุ่มธุรกิจสองกลุ่มขึ้นมาใหม่ คือ พรีเมียร์โกลเบิลที่มีวิเชียร พงศธร เป็นเสนาธิการ และสายจีเอฟโฮลดิ้งที่มีชินเวศ สารสาส เป็นเสนาธิการประจำทีม

กล่าวกันว่าเป็นความปรารถนาอย่างแรงหล้าของบรรพบุรุษ "โอสถานุเคราะห์" ที่จะให้ "บริษัทโอสถสภา (เต็กเฮงหยู)" เป็นของ "โอสถานุเคราะห์" ไม่เปลี่ยนแปลง ดังนั้นจึงอาจจะไม่แปลกที่โอสถสภาจะมีลักษณะการบริหารแบบธุรกิจครอบครัว นอกจากนั้นบรรดาพนักงานของโอสถสภาก็มีเป็นจำนวนมากที่อยู่กับบริษัทมา 20-30 ปี การเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ จึงเป็นไปได้น้อยมากเพราะไปกระทบต่อคนเป็นจำนวนมาก การขยายตัวที่เป็นอิสระเช่นที่บรรดาพี่น้องและเขยโอสถานุเคราะห์วางไว้นี้ จึงเป็นไปได้มากกว่าและลักษณะการบริหารก็สามารถต้อนรับ "มืออาชีพ" ได้อย่างสะดวกใจ

แม้ในวันนี้ภาพความยิ่งใหญ่ของโอสถสภาจะซ้อนทับอยู่เหนือบริษัทในเครือญาติพี่น้องแห่งอื่น ๆ อย่างปฏิเสธไม่พ้น และยังไม่มีความจำเป็นใดที่จะต้องมาแบ่งแยกให้ชัดเจน แต่ในวันข้างหน้าภาพของโอสถสภาและบริษัทในกรุ๊ปอื่น ๆ ที่เป็น "โอสถานุเคราะห์" อาจจะแบ่งหรือกระจายให้เห็นชัดเจนมากยิ่งขึ้น ตามวิถีของธุรกิจโดยทั่วไป แต่นั่นคือวันข้างหน้าที่คงจะต้องเป็นภาระหน้าที่ของลูก ๆ หลาน ๆ หรือไม่ก็เขยทั้งหลายนั่นเอง

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us