นายชนินท์ โทณวนิก กรรมการบริหาร บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารโรงแรมในเครือดุสิต กรุ๊ป เปิดเผยว่า บริษัทได้ปรับโครงสร้างการทำงานขององค์กรใหม่ พร้อมกับเปลี่ยนชื่อเป็น“ดุสิต อินเตอร์เนชั่นแนล” เพื่อมุ่งสู่ความเป็นสากล เน้นขยายตลาดไปต่างประเทศ โดยงานหลักจะมุ่งในเรื่องการรับบริหารจัดการโรงแรมภายใต้แบรนด์ที่อยู่ในเครือดุสิต ซึ่งมีทั้งหมด 5 แบรนด์ ได้แก่ ดุสิตธานี, ดุสิตเทวารัณย์, ดุสิต ดีทู , ดุสิต ปริ๊สเซส และ ดุสิตเรสซิเดนท์ เซอร์วิสอพาร์ตเมนต์
ปรับแผนบริษัทเน้นรับบริหาร
โดยในระยะ 3 ปี นับจากนี้ไป ดุสิตจะมุ่งขยายตลาดไปในกลุ่มประเทศเอเชียแปซิฟิก และตะวันออกกลางเป็นหลัก ตั้งเป้าหมายใน 3 ปี จะมีโรงแรมในเครือดุสิตในภูมิภาคนี้รวมกว่า 50 แห่ง โดยจะเป็นโรงแรมและเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ ที่บริษัทลงทุนและเป็นเจ้าของเองประมาณ 10 แห่ง ตั้งอยู่ในประเทศไทยเป็นหลัก ส่วนที่เหลือหว่า 40 แห่ง จะเป็นโรงแรมที่บริษัทรับบริหารจัดการและตั้งในต่างประเทศเป็นหลัก จากปัจจุบันซึ่งมีอยู่ประมาณ 22 แห่ง โดยบริษัทเป็นเจ้าของเองเพียง 9 แห่ง
ซึ่งหากธุรกิจขยายออกไปมากกว่านี้ การลงทุนเองของบริษัทจะอยู่ในสัดส่วน 10 ต่อ 1 คือ บริหาร 10 แห่ง ลงทุนเอง 1 แห่ง ซึ่งในการเข้าไปบริหาร บริษัทจะใช้เงินเข้าไปลงทุนไม่เกิน 10%
“เมื่อ 4 ปีก่อน เคยคิดว่าดุสิตจะลงทุนและเติบโตด้วยตัวเอง แต่เมื่อเข้ามาทดลองในธุรกิจรับบริหารจัดการ จึงทำให้รู้ว่า เป็นวิธีที่ดีกว่าหากเราต้องการขยายธุรกิจอย่างรวดเร็ว จึงใช้เวลาศึกษาโครงสร้างแบรนด์อยู่ 2-3 ปี และตัดสินใจปรับแผนจากที่จะลงทุนเอง มาเป็นรับบริหาร เพราะจุดประสงค์ของเราคือต้องการชนกับคู่แข่งที่เป็นเชนโรงแรมในระดับอินเตอร์ทั้งหมด โดยชูจุดขายด้านบริการแบบไทย ซึ่งเป็นที่ยอมรับของชาวต่างชาติทั่วโลก เบื้องต้นจะตั้งออฟฟิศ 4 แห่ง ที่ไทย ดูไบ อินเดีย และ จีน เพื่อดูแลงานด้านรับบริหารจัดการ”
ด้านสัดส่วนรายได้ใน 3 ปีข้างหน้าสัดส่วนที่มาจากกิจการของบริษัทเองจะมีประมาณ 70% อีก 30% เป็นรายได้จากรับบริหารจัดการ จากปัจจุบัน รายได้ 90% มาจากกิจการของบริษัทเอง ซึ่งสัดส่วนนี้จะปรับเปลี่ยนให้มีรายได้จากการรับบริการจัดการเพิ่มขึ้นเรื่อยๆต่อไปในอนาคต
“เราวางตำแหน่งเป็นพรีเมียมแบรนด์ ซึ่งโรงแรมที่อยู่ในเครือดุสิตทั้งหมดเป็นระดับ 4-6 ดาว แต่ละแบรนด์มีคาแรคเตอร์ที่แตกต่างกันออกไป ตอบสนองคอนเซปต์ของลูกค้า และตอบสนองไลฟ์สไตล์ของนักท่องเที่ยวได้ทุกรูปแบบ”
สำหรับในต่างประเทศตลาดที่จะขยายออกไป ได้แก่ เวียดนาม ,จีน ,อินเดีย ,บาหลี และ มัลดีฟ ล่าสุดเซ็นสัญญากับกลุ่มธุรกิจโรงแรม Bird Hospitality Services(BHS) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือเบิร์ดกรุ๊ป เป็นหนึ่งในผู้นำด้านอุตสาหกรรมการบินและการท่องเที่ยวรายใหญ่ของอินเดีย การเซ็นสัญญาร่วมทุนครั้งนี้ เพื่อให้บริการโรงแรมในอินเดียรวม 6 แห่งโดยจะทยอยเปิดตั้งแต่ปลายปีนี้เป็นต้นไป ส่วนที่จีนขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจาคาดว่าจะสรุปและเซ็นสัญญาได้ในไตรมาสแรกปีหน้า และประเทศต่อไปคือเวียดนาม , ออสเตรเลีย , บาหลี และ มัลดีฟ เป็นต้น
ปัจจุบันดุสิตมีโรงแรมที่ลงทุนเอง และที่รับบริหารจัดการรวมถึงเซอร์วิสอพาร์ตเมนท์ อยู่ในตะวันออกกลางกว่า 4 แห่ง ที่เมือง ไคโร ดูไบ และ อาบูดาบี
ซื้อกิจการสร้างธุรกิจ
ส่วนตลาดในประเทศสำหรับในกรุงเทพมหานคร กำลังดูทำเลเพื่อเปิดโรงแรมดุสิตดีทู และ ดุสิตเรสซิเดนท์ ซึ่งเราจะใช้วิธีเทกโอเวอร์อาคารเก่ามาปรับปรุง เพื่อความรวดเร็วของการทำธุรกิจ ซึ่งต่างจากเดิมที่เราใช้วิธีก่อสร้างจากที่ดินที่มีอยู่ซึ่งจะเสียเวลา
อย่างไรก็ตาม บริษัทได้ลงทุนกว่า 300 ล้านบาท พัฒนาระบบไอที เพื่อรองรับการเติบโตของกิจการ โดยจัดวางระบบสำรองห้องพัก ระบบข้อมูลลูกค้า ระบบการจองห้องพักผ่านเว็บไซต์ และระบบการขายห้องพัก ผ่านเครือข่ายที่มีอยู่กว่า 200 แห่งทั่วโลก เป็นบริการที่เพิ่มความสะดวกให้แก่ลูกค้า
|