“ศุภรัตน์ ควัฒน์กุล” คาดจัดเก็บรายได้ปี 51 ได้ตามเป้า 1.49 ล้านบาท ขยายตัวจากปี 50 ถึง 6.1% ขณะที่จีดีพีจะเติบโตที่ 5% เหตุเศรษฐกิจการเมืองคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้นสร้างความมั่นใจต่อผู้บริโภคและนักลงทุน ขณะที่การจัดเก็บปี 50 ปิดหีบได้ทะลุเป้ากว่า 2.56 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.8% จากปีที่แล้วรับอานิสงส์จากการยุบเลิกทุนรักษาระดับอัตราแลกเปลี่ยน 3.69 หมื่นล้านบาท
นายศุภรัตน์ ควัฒน์กุล ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า การเก็บรายได้ปีงบประมาณ 2551 จะสามารถทำได้ตามเป้าที่1.49 ล้านล้านบาท สูงกว่าการจัดเก็บจริงในปีงบประมาณที่ผ่านมา 6.1% เนื่องจากคาดว่าเศรษฐกิจไทยในปี2551 จะขยายตัว 5% อัตราเงินเฟ้อ 3% ประกอบกับปัจจัยเสี่ยงในปี 2550 ทั้งเรื่องการเมือง เศรษฐกิจ จะคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น ซึ่งส่งผลให้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและนักลงทุนกลับคืนมา
"หากไม่มีปัจจัยนอกเหนือความคาดหมายที่จะทำให้เศรษฐกิจเกิดความผันผวนอย่างรุนแรงแล้วก็คาดว่า ด้านการจัดหารายได้ของรัฐบาลคงเป็นไปตามที่ประมาณการ”
นอกจากนี้ ปัญหาเรื่อง ค่าเงินบาทที่แข็ง อัตราดอกเบี้ย และราคาน้ำมันที่สูง จะคลี่คลายลง ทำให้การบริโภคและการลงทุนของภาคเอกชนฟื้นตัวขึ้นมาได้เร็วขึ้น โดยมองว่านักลงทุนควรจะใช้จังหวะนี้ตัดสินใจการลงทุนหลังจากที่ชะลอมานาน เนื่องจากขณะนี้ปัจจัยลบต่างๆ กำลังหมดไป และยังได้สิทธิประโยชน์ทางภาษี จากการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ และการเคลื่อนย้ายเครื่องจักรไปลงทุนในต่างประเทศ
นายศุภรัตน์ กล่าวว่า สำหรับผลการจัดเก็บรายได้รัฐบาลประจำปีงบประมาณ 2550 (ตุลาคม 2549 - กันยายน 2550) บรรลุผลเกินเป้าหมาย โดยจัดเก็บได้สูงกว่าประมาณการ 25,600 ล้านบาท และสูงกว่าปีงบประมาณ 2549 จำนวนถึง 105,912 ล้านบาท รายได้รัฐบาลจัดเก็บได้รวม 1,445,600 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณ 1,420,000 ล้านบาท จำนวน 25,600 ล้านบาท หรือ 1.8% ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากได้รับรายได้พิเศษจากการยุบเลิกทุนรักษาระดับอัตราแลกเปลี่ยน 36,951 ล้านบาท
นอกจากนี้ หากย้อนไปดูที่เคยคาดการณ์ไว้ จำนวน 1,390,000 ล้านบาท (ซึ่งใช้เป็นฐานในการทำประมาณการรายได้ปีงบประมาณ 2551) ก็จะสูงกว่า 55,600 ล้านบาท หรือร้อยละ 4.0 และแม้แต่ตัดรายได้พิเศษจากการยุบเลิกทุนรักษาระดับฯ ออกแล้ว การจัดเก็บรายได้จะเท่ากับ 1,408,649 ล้านบาท ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ 18,649 ล้านบาท (1.3%) ทั้งนี้ โดยที่รายได้จาก 3 กรมจัดเก็บสังกัดกระทรวงการคลังก็ยังสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ 26,242 ล้านบาท หรือร้อยละ 1.8 ส่วนการนำส่งรายได้ของรัฐวิสาหกิจสูงกว่าประมาณการและปีที่แล้วมากพอสมควร จำนวน 13,479 และ 8,964 ล้านบาท ตามลำดับ ขณะเดียวกันก็ใกล้เคียงกับที่คาดการณ์ไว้
เมื่อพิจารณาจากการจัดเก็บรายได้ของปีที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่า ภาวะการจ้างงานของประเทศก็ยังถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดี โดยพิจารณาจากภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่จัดเก็บจากเงินเดือน (ภงด 1) ที่ขยายตัวถึง 8.5% การทำธุรกิจค้าขายระหว่างกันโดยดูจากภาษีหัก ณ ที่จ่ายจากการรับจ้างทำของ และการให้บริการระหว่างภาคธุรกิจยังมีการขยายตัวอยู่ในเกณฑ์ดีที่ประมาณ 5.9% และการจับจ่ายใช้สอยในประเทศก็ยังถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดีแม้จะไม่สูงเหมือนในปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ โดยพิจารณาจากผลการจัดเก็บภาษีการบริโภคโดยรวม ได้แก่ ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีสรรพสามิตที่เก็บจากสินค้าประเภทต่างๆ ซึ่งอัตราการขยายตัวเทียบกับปีก่อนยังมีการขยายตัวในระดับหนึ่ง ยกเว้นกรณีภาษีรถยนต์ที่มีการชะลอตัวลงอย่างเห็นได้ชัด
สำหรับปัจจัยที่ส่งผลกระทบในทางลบต่อการจัดเก็บรายได้ภาษีปีนี้ ได้แก่ (1) การแข็งค่าของเงินบาท ซึ่งทำให้มูลค่าการนำเข้าในรูปเงินบาทลดลง 4.2% แม้ปริมาณการนำเข้าจะเพิ่มขึ้นประมาณ 3.4% และการนำเข้าในรูปดอลลาร์สหรัฐจะขยายตัว 6.3% ก็ตาม การแข็งค่าของเงินบาทจึงส่งผลกระทบต่อภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีสรรพสามิตในส่วนที่เก็บจากการนำเข้าสินค้าประเภทต่างๆ และกระทบต่ออากรขาเข้าเอง นอกจากนี้ ผู้ประกอบการที่มีการส่งออกเป็นธุรกิจหลักก็ได้รับผลกระทบจากรายได้ที่เป็นเงินบาทที่ลดลง
(2)สถานการณ์ความไม่แน่นอนทางการเมือง และดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูงในปีก่อน มีผลกระทบต่อการลงทุน และการบริโภคสินค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้าคงทน เช่น เครื่องจักร ภาษีรถยนต์ เป็นต้น ทำให้ภาษีที่จัดเก็บจากสินค้าดังกล่าวชะลอตัวลงอย่างเห็นได้ชัด (3)การกันสำรองของสถาบันการเงินเพื่อรองรับมาตรฐานบัญชี IAS 39 มีผลทำให้กำไรที่ต้องเสียภาษีของระบบสถาบันการเงินโดยรวมลดลง ส่งผลกระทบต่อการจัดเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคล
สำหรับฐานะเงินคงคลังของประเทศ ณ สิ้นปีงบประมาณ 2550 มีจำนวนทั้งสิ้น 132,138 ล้านบาท สูงกว่าเวลาเดียวกันของปีก่อนประมาณ 2,803 ล้านบาท ซึ่งเพียงพอสำหรับการบริหารจัดการด้านรายจ่าย ดังนั้น เมื่อพิจารณาว่าจะจัดเก็บรายได้รัฐบาลในปี 2551 ได้ตามเป้าหมาย จึงกล่าวได้ว่า ฐานะเงินคงคลังของประเทศยังมีความมั่นคงอยู่มาก
|