เครือปตท.รวยสุดโต่ง แค่ 9 เดือนมาร์เกตแคปทั้งเครือทะลุ 2 ล้านล้าน เพิ่มขึ้นเกือบ 60% จาก 1.287 ล้านล้านบาทช่วงต้นปี หรือคิดเป็นสัดส่วนถึง 1 ใน 3 ของมูลค่าตลาดรวมทั้งหมด โดย PTT รวยสุดเกือบ 9.5 แสนล้านบาท โบรกเกอร์ชี้ราคาหุ้นไทยยังขึ้นช้ากว่าตลาดหุ้นเมืองนอก เชื่อยังมีโอกาสขึ้นได้อีก ขณะที่บิ๊กบล.หวังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งเพิ่มบจ.ขนาดใหญ่ ติงกลุ่มปตท.ใหญ่เกินไปทำให้ดัชนีเคลื่อนไหวไม่สะท้อนพื้นฐานตลาดหุ้น
การปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันในตลาดโลกในช่วงหลายปีที่ผ่านมาจนล่าสุดราคาน้ำมันสำเร็จรูปทะยานทะลุ 80 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ขณะที่มีการคาดการณ์ว่าราคาน้ำมันอาจจะปรับตัวทะลุ 100 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ในขณะเดียวกันส่งผลทำให้ราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศปรับตัวเพิ่มขึ้นแตะระดับลิตรละ 30 บาทสะท้อนให้เห็นถึงผลการดำเนินงานของธุรกิจกลุ่มพลังงานที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดโดยเฉพาะผลการดำเนินงานของเครือปตท.
ทั้งนี้ ผลการดำเนินที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่นของ 7 บริษัทในเครือปตท. ซึ่งประกอบด้วย บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT, บริษัท ปตท.ผลิตและสำรวจปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP, บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC, บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP, บริษัท โรงกลั่นน้ำมันระยอง จำกัด (มหาชน) หรือ RRC, บริ\ษัท ปตท.ปิโตรเคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTCH และบริษัท อะโรเมติกส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ ATC ทำให้มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เกตแคป) จากเมื่อวันที่ 3 ม.ค. 50 ซึ่งอยู่ที่ 1.287 ล้านล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 2.042 ล้านล้านบาท หรือ 7.545 แสนล้านบาท หรือ 58.60% เมื่อวันที่ 28 ก.ย. 50 โดยหากเทียบมาร์เกตแคปช่วงดังกล่าวกับมูลค่าหลักทรัพย์ตลาดรวมพบว่ามาร์เกตแคปของกลุ่มปตท. 7 บริษัท คิดเป็น 31.31%
สำหรับหุ้นที่มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นของมาร์เกตแคปสูงที่สุด คือหุ้น ATC มาร์เกตแคปเพิ่มขึ้นจาก 30,783.23 ล้านบาท เป็น 73,420.67 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 42,637.44 ล้านบาท หรือ 138.50%, หุ้น PTTCH มาร์เกตแคปเพิ่มขึ้นจาก 108,033.36 ล้านบาท เป็น 192,224.87 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 84,191.51 ล้านบาท หรือ 77.93%, หุ้น TOP มาร์เกตแคปเพิ่มขึ้น 104,041.42 ล้านบาท เป็น 175,442.40 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 71,40.98 ล้านบาท หรือ 68.62%, หุ้น PTT มาร์เกตแคปเพิ่มขึ้นจาก 572,204.83 ล้านบาท เป็น 945,231.68 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 373,026.85 ล้านบาท หรือ 65.19%, หุ้น RRC มาร์เกตแคปเพิ่มขึ้นจาก 47,008.67 ล้านบาท เป็น 73,092.76 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26,084.09 ล้านบาท หรือ 55.48%, หุ้น PTTEP มาร์เกตแคปเพิ่มขึ้นจาก 310,527.19 ล้านบาท เป็น 448,260.83 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 137,733.64 ล้านบาท หรือ 44.35%, หุ้น IRPC มาร์เกตแคปเพิ่มขึ้นจาก 115,050 ล้านบาท เป็น 134,550 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19,500 ล้านบาท หรือ 16.94%
ด้านความเคลื่อนไหวราคาหุ้นล่าสุด (8 ต.ค.) หุ้น PTT ราคาปิดที่ 334 บาท เพิ่มขึ้น 6 บาท หรือ 1.83% มูลค่าการซื้อขาย 1.67 พันล้านบาท , หุ้น PTTEP ราคาปิดที่ 138 บาท เพิ่มขึ้น 5 บาท หรือ 3.76% มูลค่าการซื้อขาย 978.36 ล้านบาท, หุ้น PTTCH ราคาปิดที่ 129 บาท ลดลง 1 บาท หรือ 0.77% มูลค่าการซื้อขาย 684.98 ล้านบาท, หุ้น TOP ราคาปิดที่ 88 บาท เพิ่มขึ้น 1 บาท หรือ 1.15% มูลค่าการซื้อขาย 620.46 ล้านบาท , หุ้น IRPC ราคาปิดที่ 6.85 บาท เพิ่มขึ้น 0.10 บาท หรือ 1.485 มูลค่าการซื้อขาย 118.29 ล้านบาท , หุ้น RRC ราคาปิดที่ 24.60 บาท เพิ่มขึ้น 0.10 บาท หรือ 0.41% มูลค่าการซื้อขาย 359.86 ล้านบาท , หุ้น ATC ราคาปิดที่ 71.50 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง มูลค่าการซื้อขาย 358.60 ล้านบาท
นายอดิพงษ์ ภัทรวิกรม ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด กล่าวว่า หุ้นในกลุ่มสินค้า commodity 3 กลุ่ม คือ พลังงาน เดินเรือ และเคมีภัณฑ์ เพียงแค่ 10 บริษัทขนาดใหญ่มีมาร์เกตแคปรวมกันถึง 32% ของตลาดรวม ขณะที่หากพิจารณาแค่ใน SET 50 มีมาร์เกตแคปคิดเป็นถึงเกือบ 50% ซึ่งในภาวะที่ตลาดอยู่ในขาขึ้นก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีที่เป็นกลุ่มผลักดันให้ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ ที่ผ่านมาเมื่อเทียบกับราคาหุ้นใน 3 กลุ่มดังกล่าวกับหุ้นในตลาดต่างประเทศพบว่าราคาหุ้นต่างปรับตัวเพิ่มขึ้นช้ากว่าในตลาดหุ้นต่างประเทศค่อยข้างมาก ทำให้มีโอกาสที่ราคาหุ้นจะสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นได้อีก
"กลุ่มอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่เป็นแรงผลักดันดัชนีของบ้านเรายังปรับตัวเพิ่มขึ้นช้ากว่าอุตสาหกรรมเดียวกันในตลาดหุ้นต่างประเทศ ทำให้เรามีโอกาสที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นได้อีก"นายอดิพงษ์กล่าว
ดัชนีขึ้นลงไม่สะท้อนพื้นฐาน
แหล่งข่าวผู้บริหารบริษัทหลักทรัพย์ กล่าวว่า เป็นเรื่องที่ถือว่าไม่ดีที่แค่ 7 บริษัทกลับมีมาร์เกตแคปรวมกันมากถึง 1 ใน 3 ของตลาดรวม เพราะการปรับตัวเพิ่มขึ้นหรือลดลงของดัชนีในหลายครั้งที่ไม่สะท้อนต่อความเป็นจริงมากนัก เรามักจะพบตลาดหุ้นไทยเคลื่อนไหวไม่สอดคล้องกับตลาดหุ้นในต่างประเทศ เพราะแค่มีแรงซื้อหรือขายเข้ามาในหุ้น 7 บริษัทกลุ่มปตท.ก็เป็นตัวกำหนดการเคลื่อนไหวของดัชนีได้ทันที
ทั้งนี้ หากตลาดหุ้นไทยยังไม่สามารถหาบริษัทขนาดใหญ่เข้ามาเพิ่มทิศทางของตลาดหุ้นไทยก็จะเป็นเหมือนในปัจจุบันที่คาดการณ์อะไรไม่ได้ หุ้นจะขึ้นลงไม่ใช่อยู่ที่ปัจจัยพื้นฐานแต่กลับอยู่ที่การเข้ามาซื้อหรือขายหุ้นกลุ่มปตท.มากกว่า
"เป็นเรื่องที่ดีที่เรามีขนาดใหญ่ให้นักลงทุนเข้ามาซื้อขาย แต่การที่มีไม่มากและมีอยู่ในธุรกิจใดธุรกิจหนึ่งมากจนเกินไปเป็นเรื่องที่ไม่ดี เพราะในความเป็นจริงพื้นฐานของอุตสาหกรรมเดียวไม่ควรจะมีบทบาทในการเข้ามากำหนดทิศทางของตลาดหุ้นมากถึงปัจจุบัน ขณะเดียวกันการคาดการณ์ดัชนีในแต่ละวันก็มักจะไม่สอดคล้องกับความจริง"แหล่งข่าวกล่าว
ลุ้นหุ้นไฟฟ้ารับอานิสงส์
นางสาวสุภากร สุจิรัตนวิมล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เคทีบี จำกัด กล่าวว่า บริษัทเตรียมจะมีการปรับประมาณราคาหุ้นเหมาะสมของหุ้น PTTเพิ่มขึ้น จาก 350 บาทต่อหุ้น ซึ่งคาดว่าจะปรับหลังจากที่บริษัทได้มีการประกาศงบไตรมาส3/50 ออกมา เนื่องจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นและจะยังคงทรงตัวในระดับที่สูง และบริษัทจะมีการปรับประมาณผลประกอบการปีนี้เช่นกันจากที่บริษัทจะมีกำไรจากสต๊อกราคาน้ำมัน กลุ่มธุรกิจปิโตเคมี โรงกลั่นมีผลการดำเนินงานที่ดี และค่าการกลั่นน้ำมันในไตรมาส3/50อยู่ในระดับที่ดี
นายพิชัย เลิศสุพงศ์กิจ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายการตลาด บล.ธนชาต กล่าวว่าราคาหุ้นในน้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้นอีกครั้งทำให้หุ้นในกลุ่มพลังงานได้รับอานิสงส์จากเรื่องดังกล่าว นอกจากนี้ยังรวมไปถึงหุ้นในกลุ่มไฟฟ้าที่อยู่ระหว่างการเตรียมที่จะประมูลโครงการรับชื่อไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ IPP รอบใหม่ ซึ่งจะส่งผลทำให้หุ้นในกลุ่มไม่ว่าจะเป็น EGCO, RATCH, GLOW ราคาต่างปรับตัวเพิ่มขึ้น
บทวิเคราะห์บล.ทรีนีตี้ คาดว่าผลการดำเนินงานของหุ้นในกลุ่มน้ำมันรวมถึงกลุ่มเคมีภัณฑ์ในช่วงไตรมาส 3/50 น่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่นโดยคาดว่า TPC จะมีกำไรสุทธิงวดไตรมาส3/50 อยู่ที่ 805 ล้านบาท โดยให้ราคาเป้าหมาย 24 บาท ส่วน PTTCH คาดว่ามีกำไรสุทธิประมาณ 5,400 ล้านบาท แต่ราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว แนะนำให้รอซื้อเมื่อราคาอ่อนตัว
|