|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
“อินเด็กซ์” มั่นใจอานิสงส์อนุมัติรถไฟฟ้าสายสีม่วงดันบ้านเดี่ยว-ทาวน์เฮาส์ชานเมืองเกิด ผลักดันส่วนแบ่งตลาดเฟอร์นิเจอร์ขยายตัวเพิ่ม หลังตลาดบ้านจัดสรรซบเซา ระบุ อนุมัติรถไฟสายสีม่วง สร้างความชัดเจน- ความเชื่อมั่น นักลงทุนผู้บริโภค เพิ่มกำลังซื้อ แจงบ้านจัดสรรซบยอดขายเฟอร์นิเจอร์เข้าคอนโดฯขยับขึ้น70% บ้านจัดสรรลดลงเหลือ30% จากเดิมยอดขายเข้าบ้านเดี่ยวสัดส่วน70%
จากกรณีที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)การอนุมัติการก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง บางซื่อ-บางใหญ่ ส่งผลให้แนวโน้มตลาดบ้านเดี่ยวย่านชานเมือง มีโอกาสกลับมาคึกคักอีกครั้งหนึ่งตั้งแต่ในช่วงปลายปี50นี้ ทำให้มีการจับตามองว่า จากช่วงนี้ไปที่ดินในแนวรถไฟฟ้าสายสีม่วง ร่วมถึงผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์จะมีการเคลื่อนไหวในทิศทางใด และธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับอสังหาริมทรัพย์ อย่างตลาดเฟอร์นิเจอร์ จะมีทิศทาง หรือ แนวโน้มอย่างไร
นายกิจจา ปัทมสัตยาสนธิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินเด็กซ์ ลีฟวิ่งมลล์ จำกัด หนึ่งในบริษัทชั้นนำตลาดเฟอร์นิเจอร์ เปิดเผยว่า การอนุมัติการก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วยให้เกิดความชัดเจนทั้งในด้านทำเลการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย เกิดการลงทุนพัฒนาโครงการบ้านจัดสรร และทาวน์เฮาส์ในย่านชานเมืองในแนวรถไฟฟ้าสายดังกล่าว
ทั้งนี้ การพัฒนาโครงการบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮาส์จะส่งผลดีต่อตลาดเฟอร์นิเจอร์อย่างมาก เนื่องจากในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ตลาดบ้านเดี่ยวซึ่งเป็นตลาดหลักของผู้ประกอบการธุรกิจเฟอร์นิเจอร์มีสัดส่วนที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง ทำให้สัดส่วนรายได้จากการขายเฟอร์นิเจอร์ในที่อยู่อาศัยประเภทบ้านเดี่ยว-ทาวน์เฮาส์ลดลงตามสภาพตลาด ในขณะที่ตลาดคอนโดมิเนียม กลับมีอัตราการเติบโตอย่างรวดเร็วเข้ามาทดแทนยอดขายในส่วนของบ้านเดี่ยวที่หดหายไป
แต่อย่างไรก็ตาม แม้ว่ารายได้จากตลาดคอนโดมิเนียมจะเข้ามาทดแทนในส่วนของตลาดบ้านเดี่ยวที่หายไป แต่เมื่อเปรียบเทียบมูลค่าจากการขายเฟอร์นิเจอร์ในโครงการคอนโดมิเนียมกับโครงการบ้านจัดสรรแล้ว มูลค่าหรือยอดขายจะมีความแตกต่างกันมาก โดยการขายเฟอร์นิเจอร์ให้ลูกค้าคอนโดมิเนียมนั้น จะมีราคาขายเฉลี่ยต่อหน่วยอยู่ที่ 1.2-1.8 แสนบาทต่อหน่วย ในขณะที่ยอดขายต่อหน่วยของโครงการบ้านเดี่ยวหรือทาวน์เฮาส์จะมียอดขายเฉลี่ยต่อหน่วยที่ 5 แสนบาทขึ้นไป
ทั้งนี้ เหตุผลที่ยอดขายเฟอร์นิเจอร์ในโครงการคอนโดมิเนียมมีมูลค่าต่ำกว่าบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮาส์ 4-5 เท่านั้น เนื่องจาก เฟอร์นิเจอร์ที่ออกแบบให้แก่ลูกค้าคอนโดมิเนียมมีขนาดที่เล็ก และมีพื้นที่(ฟังค์ชัน)การใช้งานจำกัด ทำให้ราคาขายต่อชิ้นต่ำ เมื่อเทียบกับราคาขายเฟอร์นิเจอร์ตกแต่งบ้านและทาวน์เฮาส์ ปัจจุบันบริษัทมีรายได้จากการขายเฟอร์นิเจอร์เข้าโครงการประเภทคอนโดมิเนียม70% ในขณะที่บ้านเดี่ยวและทาวน์เฮาส์มีสัดส่วนอยู่ที่ 30% จากเดิมที่ยอดขายหลักของบริษัทจะอยู่ที่โครงการแนวราบประมาณ 70%
“หากตลาดบ้านเดี่ยว และทาวน์เฮาส์กลับมาบูมอีกครั้ง หลังการก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ก็จะส่งผลดีกับตลาดเฟอร์นิเจอร์อย่างมาก เพราะจะช่วยให้ส่วนแบ่งตลาด ของตลาดเฟอร์นิเจอร์ขยายตัวเพิ่มขึ้นอีก รวมเข้ากับตลาดคอนโดมิเนียม เพราะเชื่อว่าในระยะ2-3ปีจากนี้ตลาดคอนโดมิเนียมก็ยังไปได้อยู่ ประกอบกับการทยอยสร้างเสร็จของคนโดฯจะทำให้เกิดการใช้เฟอร์นิเจอร์เพิ่มขึ้นด้วย”
นายกิจจากล่าวว่า ในด้านการแข่งขันหรือแนวโน้มตลาดเฟอร์นิเจอร์หลังจากบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮาส์กลับมาขยายตัวอีกครั้งนั้น เชื่อว่าจะไม่ส่งผลด้านการแข่งขันมากนั้น เนื่องจากปัจจุบันตลาดเฟอร์นิเจอร์มีผู้ประกอบการรายใหญ่อยู่เพียงไม่กี่ราย ทำให้การแข่งขันไม่รุนแรง ประกอบกับผู้ประกอบการแต่ละรายก็มีตลาดเดิมของตนเองอยู่แล้ว
อย่างไรก็ตามแม้ว่าในปี2551จะมีปัจจัยบวก ทั้งในด้านการเลือกตั้งที่ชัดเจน การอนุมัติการก่อสร้างรถไฟฟ้าเข้ามาช่วยเสริมให้เกิดการสร้างงานและกระจายรายได้ ทำให้เงินในระบบมีการหมุนเวียนมากขึ้น เนื่องจากผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นและกล้าจับจ่ายใช้สอย แต่คงไม่ถึงขั้นทำให้ตลาดเฟอร์นิเจอร์กลับมาขยายตัวได้เท่ากับช่วงที่ผ่านมาแน่นอน เพราะทุกอย่างขึ้นอยู่กับสภาพเศรษฐกิจและการลงทุนของภาครัฐและเอกชนเป็นสำคัญ
สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานในปี 2550 คาดว่าทั้งปีนี้บริษัทจะมีรายได้เติบโตตามเป้า10-15% หรือมียอดขายรวม6,500 -6,800 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี2549ที่มีรายได้6,000 ล้านบาท ส่วนตลาดต่างประเทศนั้น บริษัทจะพยายามรักษาอัตราการเติบโตไว้เท่าๆกับปี49ให้ได้ แม้ว่าการแข่งขันจะรุนแรง และได้รับผลกระทบจากการแข็งค่าของเงินบาทก็ตาม
|
|
|
|
|